พูดถึงคำว่า “ซึม” แล้วนึกถึงอะไร…
อย่างแรก เราอาจจะนึกถึงภาพของเหลวที่ไหลไปอย่างช้าๆ แล้วหายวับไปกับตาเหลือทิ้งไว้แค่เพียงร่อยรอยจางๆ
เหมือนอย่างคำว่า “น้ำซึมบ่อทราย” ก็จะทำให้เราเห็นภาพของน้ำที่ค่อยๆ ไหลซึมลงไปในเม็ดทราย
นั่นแหละคือความหมายแรกของคำว่า “ซึม”
ส่วนคำว่า “ซึม” ในความหมายถัดมา ไม่ใช่คำกริยาแต่เป็นลักษณะของอาการที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
ได้ยินคำนี้เมื่อไรจะนึกถึงความเศร้าผสมความผิดหวังขึ้นมา โชคร้ายกว่านั้นคือ ต่อให้มันจะเศร้าแค่ไหน
“ซึม” ก็เป็นอาการที่มักจะแวะทักทายกันโดยไม่ทันตั้งตัวทุกที
… “หมึกซึม” …
นอกจากจะหมายถึงลักษณะของหยดหมึกที่ ไหลไปอย่างช้าๆ และอารมณ์หม่นทึมแล้ว
ยังหมายถึง “ชื่อเพจภาพวาด” ที่มีคนตามมากกว่า 1 ล้านคน
ซึ่งเรา (และอีกหลายๆ คน) ก็คงเป็นหนึ่งในล้านนั้นเช่นกัน
...
พูดถึงเพจภาพวาดแล้วหลายคนอาจนึกถึงรูปวาดสวยๆ สีสันสดใส
แต่เพจหมึกซึมนั้นตรงกันข้าม
ลายเส้นของหมึกซึมไม่ได้หวือหวาแต่ใช้การวาดเส้นแบบง่ายๆ มีสไตล์
สีที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นเพียงภาพขาวดำ ดูแล้วอาจไม่ได้ “สวยมาก”
แต่เป็นภาพวาดชวนเหงาที่ “ซึม” เข้าไปในหัวใจของคนอ่านจริงๆ
...
วันนี้เรามีโอกาสได้นั่งคุยกับ “คุณชมพู่” เจ้าของลายเส้นชวนเหงาอย่าง "หมึกซึม"
เพื่อทำความรู้จักตัวตน และมุมมองความรักที่มักจะถูกถ่ายทอดออกมาได้โดนใจใครหลายคน : )
..
ที่มาของเพจ “หมึกซึม”
(อยากรู้ที่มาของเพจว่าเกิดขึ้นมาได้ยังไง?)
เป็นคนที่ชอบวาดการ์ตูน เลยเลือกเรียนศิลปะ แต่ปรากฏว่าในสาขาที่เรียนไม่มีสอน (อ้าว!)
เราเลยใช้การ์ตูนเป็นกิจกรรมคลายเครียด บวกกับความเวิ่นเว้อส่วนตัว
จึงนำมาผสมเป็นภาพประกอบข้อความแนวความรักความรู้สึก ตอนแรกก็โพสเล่นๆ ในเฟซบุ๊กส่วนตัว
จนเพื่อนคนหนึ่งมาบอกว่าชอบรูปที่เราวาด เราน่าจะเปิดเพจนะ ซึ่งเราเองไม่มั่นใจเลยเพราะตอนนั้นฝีมือง่อยมาก
แต่ก็เปิดเพราะอยากมีพื้นที่รวบรวมภาพวาดของเราเอง แต่โพสไปโพสมากลายเป็นว่าคนเข้ามาอ่านเยอะจนแอบตกใจ
รู้ตัวว่าชอบวาดภาพตั้งแต่เมื่อไร?
จริงๆ ตั้งแต่จำความได้ก็ชอบพวกสมุดภาพระบายสีแล้วนะ ช่วงประถมก็ชอบอ่านพวกขายหัวเราะ มหาสนุก
แล้วจะชอบเอาตัวการ์ตูนในนั้นมาวาดตาม นานๆ ไปก็เริ่มพยายามวาดแก๊กเองแล้วเอาไปอวดพ่อ (หัวเราะ)
เราโตมากับการเป็นคนที่เพื่อนในห้องชอบมาขอให้ช่วยวาดรูปให้ แต่ก็มีช่วงที่หยุดพัฒนาฝีมืออย่างจริงจังช่วงมัธยม
เพราะไปจริงจังกับดนตรีแทน ก่อนที่จะกลับมาเดินทางสายวาดรูปอีกครั้งช่วงเข้ามหาวิทยาลัย
ดูจากหนังสือ “รอยยิ้มสีจาง” แล้ว เหมือน "หมึกซึม"
จะชอบงานเขียนด้วย
งานเขียนนี่เราก็ชอบนะ จำได้ว่าชอบหลังการวาด ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงมัธยมต้นที่เริ่มเขียนมากขึ้น
เคยเขียนพลอตแนวสยองขวัญแล้วให้เพื่อนในห้องอ่านด้วย ถามว่าชอบแบบไหนมากกว่า
เรารู้สึกว่า เราชอบทั้งการวาดและการเขียนเท่าๆ กัน เวลาเขียนพลอตเรื่องก็สนุกในตัวอักษร
แต่เวลาวาดเป็นการ์ตูนก็สนุกในการวาดเหมือนกัน ถ้าต้องเลือกทางใดทางหนึ่งตอนนี้คงเลือกไม่ถูก
อยากพัฒนาทั้งสองสิ่งนี้ไปพร้อมๆ กัน
ดูเหมือนคุณยินดีที่ได้คิดถึงความทรงจำในอดีต
ขณะที่บางคนพยายามที่จะลืมมัน
เมื่อก่อนเราก็เคยคิดแบบนั้นนะ แต่ตอนนี้พิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้วว่าเราไม่สามารถลืมสิ่งที่เคยเกิดขึ้นได้เลย
ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เรายังสามารถจำได้ว่าเราเคยรู้จักใคร คุยกับใคร จำหน้าตา จำชื่อ จำการกระทำของเขาได้เสมอ
แต่สิ่งที่ทำให้เราเดินข้ามผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ คือการที่เราสามารถนึกถึงความทรงจำเหล่านั้นได้โดยไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว
ยิ่งคิดว่าต้องลืม มันก็ไม่ลืมหรอก เคยอ่านหนังสือจิตวิทยาเขาบอกว่ายิ่งคิดถึงอะไรมากๆ สมองเราจะยิ่งเก็บสิ่งนั้นเอาไว้ถาวร
ฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องลืม แค่ไม่ใส่ใจมันก็พอ ถ้าความทรงจำนั้นมันเลวร้าย ก็ไม่ต้องไปให้ค่ามัน
มุมมองความรักของคุณค่อนข้างเป็นบวกมาก
เคยทำอะไร “พลาด” บ้างมั้ย?
พลาดเยอะเลย (หัวเราะ) ที่พลาดที่สุด คงเป็นโอกาสที่จะได้คบกับใครคนหนึ่งมั้ง ...
ตอนนั้นโอกาสอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แค่ยื่นมือไปก็คว้าได้แล้ว แต่เรากลับรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาซะอย่างนั้น
สุดท้ายเราก็ปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านเลยไป ทุกวันนี้ยังเสียดายอยู่เลย
ที่ตลกคือมันดันไม่ใช่ความทรงจำที่เลวร้ายด้วยสิ จะไม่สนใจก็ไม่ได้ เพราะมันมีแต่เรื่องราวดีๆ
คราวนี้ล่ะ สนุกเลย ผ่านมากี่ปีๆ ก็ยังคงคิดถึงช่วงเวลานั้นเสมอไม่เคยเปลี่ยน … แล้วก็มานั่งเสียดาย (หัวเราะ)
ซึ่งปัญหาความไม่เข้าใจของคู่รักหลายๆ คู่คือเรื่องของ “เวลา”
เราเชื่อในความรักนะ เราว่าถ้ามันเป็นความรักแล้ว ไม่ว่าปัญหาจะเกิดจากอะไร
คนที่รักกันมักจะเข้าใจและจัดการได้ทุกคู่อยู่แล้วแหละ เช่นเรื่อง เวลาไม่ตรงกัน เราเชื่อว่าคนที่รักกันจริงๆ
เขาจะพยายามหาเวลาที่ลงตัวให้กันและกันเต็มที่อยู่แล้ว ซึ่งถ้าไม่ได้จริงๆ คนรักกันย่อมเข้าใจและเชื่อใจกันมากพอ
ปัญหาคลาสสิคต่อมา :
หมดรักแล้ว.. ไม่กล้าบอกเลิก หายไปเลยดีกว่ามั้ย?
เรามองว่าการเงียบหายไปใจร้ายมากเลยนะ ไม่รู้สิ อาจเป็นเพราะจริงๆ เราต้องการอะไรที่มันชัดเจนไปเลยมากกว่า
ถ้ารู้ว่าไม่ได้รัก จะได้เสียใจทีเดียวแล้วรู้ว่าควรทำยังไงต่อไป แต่การเงียบหายไป มันตีความได้หลายอย่างเลย
ทั้งในแง่ดีมาก ดีน้อย เรื่องร้ายเล็กน้อย หรือร้ายมากๆ สกิลการมโนของเรามันขั้นสูงอยู่แล้ว (หัวเราะ)
ถึงแม้ว่าทั้งสองแบบจะเป็นคำตอบเดียวกัน แต่การเงียบหายไปเราว่ามันทำให้เราเสียเวลาตีความนะ
ทำให้รู้สึกมีความหวังด้วย ไม่รักก็ไม่รัก ตรงๆ ไปเลย เจ็บตรงไหนจะได้รักษาได้ตรงจุด
ปัญหาคลาสสิคเรื่องสุดท้าย : แอบรักเขาอยู่ ไม่รู้ทำไงดี
ทำตามความรู้สึกตัวเองค่ะ (หัวเราะ) อยากบอกก็บอก ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก
อาจจะต้องมาเสียดายทีหลังอันนี้ไม่รู้ด้วยแล้ว (ฮา) ความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคน มีรายละเอียดยิบย่อย
คนที่แอบรักอยู่เขารู้ว่าเขากำลังทำอะไร เขารู้ว่าจังหวะไหนที่เขากล้า เขารู้ว่าจังหวะไหนมันไม่ใช่
และเขารู้ในใจตัวเองแน่ๆ อยู่แล้วว่าควรบอกหรือไม่ควรบอก บางคนอาจจะแค่อยากอยู่ข้างๆ อยู่เงียบๆ
มีความสุขในมุมของตัวเองก็ได้ (เอาที่สบายใจ) เราเข้าใจ เพราะถ้าเราอยากแอบรักใครเงียบๆ
เราก็คงไม่อยากให้ใครมายุว่า “บอกเลยๆ” หรอก
------------------- //// -------------------
สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อเสมอคือ เมื่อถึงจุดหนึ่ง สถานการณ์ต่างๆ จะให้คำตอบกับเราเอง”
------------------- //// -------------------
“หมึกซึม” ชอบใช้ช่องทางไหนในการคุยกับคนที่รู้สึกดีด้วย
ในความรู้สึกจริงๆ แล้วชอบการคุยต่อหน้าที่สุด ชอบการได้มองเห็นสีหน้าแววตาของคนที่เราคุยด้วย
แต่โดยนิสัยแล้วเราเป็นคนคุยผ่านตัวอักษรเก่งกว่า คนที่รู้จักเราหลายคนจะเข้าใจดี ตอนคุยในแชทนี่พิมพ์น้ำไหลไฟดับ
แต่พอมาเจอนี่นั่งยิ้มอย่างเดียว (ฮา) อาจเป็นเพราะเราเป็นคนค่อนข้างขี้อาย และไม่มั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่
ทำให้เวลาคุยต่อหน้าเรามักจะคิดคำพูดนาน เหมือนต้องประมวลตลอดเวลาว่าถ้าพูดแบบนี้คนฟังจะรู้สึกยังไง
ซึ่งวิธีนี้มันใช้ได้ดีในการคุยผ่านตัวอักษร เราสามารถเรียบเรียงและทบทวนก่อนส่งออกไปได้
ทำให้เรามั่นใจว่าเราจะไม่ทำให้ใครเสียความรู้สึก
เท่าที่คุยมาจนถึงตอนนี้ ดูเหมือนคุณจะเข้าใจความรักได้ดี
เรียกว่ามีประสบการณ์ประมาณนึงดีกว่า (หัวเราะ) เห็นแบบนี้ เมื่อก่อนเราก็เคยเป็นคนงี่เง่าคนหนึ่งที่ไม่พยายามเข้าใจอะไรเลยนะ
โทษทุกสิ่งที่ทำให้เราไม่เข้าใจโดยที่ไม่เคยพยายามค้นหาคำตอบ จนวันหนึ่งถึงวันที่เราอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ถึงได้รู้ว่า ทุกครั้งที่เกิดปัญหาความไม่เข้าใจ มันมีจัดการง่ายๆ คือ “คิดบวกให้มากขึ้น”
ยกตัวอย่างเช่น "ปัญหาเรื่องความไม่เข้าใจกัน"
บางครั้งเราอาจจะหงุดหงิดว่า ทำไมเขาทำตัวแบบนั้น? ทำไมเขาไม่ตามใจเราอย่างงี้?
พอไม่เข้าใจเขาเราก็หงุดหงิด ซึ่งความจริงเราควรจะถามตัวเองก่อนว่า
" ที่เราไม่เข้าใจเป็นเพราะเขาเข้าใจยาก หรือ เราไม่พยายามที่จะเข้าใจ "
คือถ้าพยายามมากพอ เราอาจจะเข้าใจเขามากขึ้นก็ได้ หรือต่อให้พยายามแล้วยังหาคำตอบไม่ได้
การพยายามคิดไปในทางที่ดี ไม่ใช้อารมณ์ ยึดเหตุและผลเอาไว้ มันก็ทำให้เราเข้าใกล้คำตอบมากขึ้น
(กว่าจะมาเป็น "รอยยิ้มสีจาง")
สุดท้ายแล้ว ในฐานะที่เป็น “นักสังเกตความรัก” คนหนึ่ง
มองว่า “ความรักที่ดี” ควรเป็นอย่างไร?
คือการรักใครสักคนแล้วชีวิตเราดีขึ้น
มันอาจจะไม่ใช่ความรักที่ “สมหวังกันทั้งสองฝ่าย” ก็ได้
แม้จะเป็นเพียงการได้แอบรักใครสักคนอย่างเงียบๆ
แต่ถ้าเราเอารักนั้นมาเป็นแรงบันดาลใจที่ดี
ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น
...
สำหรับเรานั่นก็ถือเป็นความรักที่ดีนะ : )
....
"ความรักดีๆ บางทีก็ยากที่จะลืม"
"รอยยิ้มสีจาง" หนังสือบันทึกความทรงจำความรักที่เด่นชัดในความทรงจำ
และคงไม่มีวันเลือนหายไปตาม "กาลเวลา"
ผลงานดีๆ จากเพจ "หมึกซึม"
สนใจรายละเอียด คลิกเข้าไปดูได้ที่
https://pod.ookbee.com/Book/2206
ข้อมูลจะถูกนำออกทำให้ไม่สามารถอ่านได้อีกน่าเสียดายมากเลย
แน่ใจแล้วหรือที่ต้องการลบข้อมูลออก
หากยืนยันแล้วจะไม่สามารถกู้คืนมาได้อีกนะ!