วิเคราะห์เหตุการณ์ “ฆ่านางวันทอง”
วันที่โพสต์: 20/10/2018

จาก วิเคราะห์เหตุการณ์ “ฆ่านางวันทอง”

 

เหตุการณ์ในช่วงนี้ นับว่าค่อนข้างชุลมุนวุ่นวายและสับสนอลม่านมิใช่น้อย เกริ่นคร่าวๆนั้น เริ่มหลังจากนางวันทองถูกนำตัวไปสู่ลานประหารตามพระบัญชาของสมเด็จพระพันวษา พระไวยลูกของนางกับขุนแผนคิดเข้าขวางแต่ขุนแผนห้ามไว้แล้วพาไปปรึกษากันยังศาลา

หลังจากตั้งสติได้ พระไวยจึงปรึกษากับขุนแผนผู้เป็นพ่อว่า ให้ขุนแผนคอยติดตามสถานการณ์ที่ลานประหารไว้ ส่วนตนนั้นจะรีบไปทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่แม่วันทองจากสมเด็จพระพันวษาจอมเหนือหัว ขุนแผนเองก็เห็นชอบด้วย แต่เพื่อความรอบคอบจึงได้จับยามสามตาเพื่อประเมินผลลัพธ์ ซึ่งผลจากการจับยามนั้นก็ออกมาไม่สู้ดีนัก ขุนแผนจึงแจ้งพระไวยว่า

อัฐกาลพานขัดอยู่หนักหนา พ่อว่าประหนึ่งจะชิงห้าม

เจ้าจะไปทูลขอดูก็ตาม ในยามว่าองค์พระทรงชัย

เจ้าไปทูลขอโทษคงโปรดแน่ แต่แม่เจ้าหาพ้นจากตายไม่

ดูหน้าหน้าก็นวลจวนบรรลัย จะใกล้ในเวลานี้เข้าสี่โมง

 

และเพื่อยืนยันผลการคำนวน ขุนแผนจึงได้ลงมือขีดผืนดินเพื่อคำนวนให้พระไวยตรวจดูด้วยตนเองอีกด้วย

ขีดชะตาลงดูกับแผ่นดิน ก็ขาดสิ้นเคราะห์ร้ายเห็นตายโหง

เสาร์ทับลักขณากาจับโลง ยามลิงล้วงโพรงจระเข้กิน

ใครต้องยามนี้มิได้รอด พระไวยเห็นตลอดอยู่เสร็จสิ้น

น้ำตาอาบหน้าลงรินริน ผินหน้าว่ากับพ่อว่าตามกรรม

 

แต่ข้างพระไวยนั้น แม้จะทราบชะตากรรมของแม่วันทองอย่างแม่นมั่นแล้ว แต่ก็ขอเพียรพยายามให้ถึงที่สุด ส่วนที่เหลือนั้นก็ให้สุดแล้วแต่บาปปุญจะนำไป จึงยืนยันตามแผนเดิม คือให้ขุนแผนติดตามสถานการณ์ที่ลานประหารไว้ ส่วนตนจะเร่งไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษา และกำชับขุนแผนไว้ว่า“พยายามอย่าให้แม่วันทองถูกประหารก่อนที่ตนจะกลับมาถึงอย่างเด็ดขาด”

หลังตกลงกับบิดาเสร็จ พระไวยจึงไปเข้าพบ พระยายมราช ขุนนางผู้รับคำสั่งให้คุมตัวแม่วันทองมาประหารพร้อมขอให้ระงับการประหารไว้ก่อน พระยายมราชเห็นดังนั้นก็ยินดี จึงบอกให้พระไวยรีบไป แต่ด้วยว่าตัวพระยายมเองก็ไม่ต้องการที่จะผิดพระอาญาต้องโทษเพราะไม่ปฏิบัติตามบัญชาของสมเด็จพระพันวษา พระยายมจึงได้กำชับพระไวยไว้ว่า หากพระไวยกลับมาถึงช้า ตนก็คงไม่อาจระงับการประหารไว้ต่อไปได้อีก พระไวยจึงรับคำแล้วรีบเดินทางพร้อมเหล่าบ่าวไพร่ทันที

ครั้นถึงวังหลวง พระไวยและบ่าวไพร่ก็หาที่พักผ่อนเตรียมตัวกันให้เรียบร้อย เมื่อพร้อมแล้วพระไวยจึงสำรวมระงับจิตตั้งใจรีบเข้าประตูวังด้านตะวันออกพร้อมอ่านมนตร์มหาละลวยให้เห็นเป็นเมตตา ทั้งยังจัดการลูบไล้ผงแป้งลงยันตร์เทพนิมิตที่มือทั้ง๒ข้างให้นวลเนียนไร้รอยต่อให้เห็น และได้ตั้งจิตอธิษฐานพระพรชัยขอให้ความเคืองขัดของพระพันวษานั้นถอยกลับขยับสูญไป ครั้นตั้งจิตจนเห็นว่าลมจันทรกลาตามการหายใจเข้า-ออกในกายของตนเดินคล่องดีจนเป็นกำลังให้วิชาที่ระดมเสกเป่าไปทั้งหมดได้สมบูรณ์แล้ว(ถ้าเป็นสำนวนนิยายกำลังภายใน ก็น่าจะประมาณทำนองว่าเป็นการเดินลมปราณก่อนใช้กำลังภายในและวรยุทธ) พระไวยก็รีบเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษาทันที

(ตัวพระไวยน่าจะเสียเวลาตรงการชาร์จปราณให้วิชานี้ไปพอสมควร แต่จะไม่ทำเลยก็ไม่ได้ เพราะหากเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าให้ขัดหูขัดตาจะโดนหางเลขรับโทษตามไปให้ยืดยาวด้วย เผลอๆอาจถูกประหารตามเลยก็ได้ ทีนี้ก็จบเลย)

ครั้นถึงท้องพระโรง พระไวยก็หมอบคลานตามธรรมเนียม และเมื่อเห็นว่าสมเด็จพระพันวษากำลังทรงโสมนัสตรัสอย่างหรรษา พระไวยก็กราบลงตรงหน้าพระพักตร์๓ครั้งตามธรรมเนียมและหมอบคอยดูท่าทีจากจอมกษัตริย์ สมเด็จพระพันวษาเห็นดังนั้นก็รู้สึกเมตตาพระไวย พระองค์จึงคิดในใจว่า พระไวยนี้ช่างขยันดีแท้ ขนาดแม่ถูกประหารยังสู้อุตส่าห์เวียนมาเข้าเฝ้าได้ จากนั้นจึงตรัสถามพระไวยว่า ไปไหนมาและนางวันทองถูกประหารรึยัง

พระไวยได้ฟังคำตรัสถามก็น้ำตารินด้วยเห็นว่าสรรพเวทวิชาที่สู้อุตส่าห์งัดขึ้นมาใช้ซัพพอร์ตตัวเองตั้งหลายสูตรนั้นสัมฤทธิ์ผลสมปองทุกกระบวนความ จึงถวายบังคมทูลด้วยการชักแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบายให้สมเด็จพระพันวษาใจอ่อนยอมอภัยโทษให้แม่วันทองแต่โดยดี อนึ่ง ตัวพระไวยเองนั้น ตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่มีโอกาสได้แทนคุณมารดาแม้แต่ครั้งเดียว หากมีบัญชาให้พระราชทานอภัยโทษแล้วไซร้ ตัวพระไวยเองก็จะได้แทนคุณมารดาสมปรารถนา โทษของแม่วันทองนั้น ขอให้ลงทัณฑ์แค่เฆี่ยนตีตามจารีตประพเณี อย่าได้ถึงกับเข่นฆ่าประหารกันเลย

สมเด็จพระพันวษาได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบว่าเข้าที จึงเมตตาปรารภว่า ด้วยเห็นพระไวยนั้นมีความชอบจากหลายๆภารกิจ แม้ว่าพระองค์จะได้ประทานรางวัลตอบแทนให้พระไวยไปมากต่อมากแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังไม่สู้จะสาสมใจของพระองค์นัก ดังนั้นพระองค์จึงจะยอมยกโทษนางวันทองให้เป็นรางวัลตามที่พระไวยต้องการ แต่พระพันวษาก็ได้กล่าวสำทับกลางท้องพระโรงต่อหน้าขุนนางทั้งหลายอย่างแข็งกร้าวว่า การพระราชทานอภัยโทษนี้พระองค์ประทานให้พระไวยแต่ผู้เดียวเท่านั้นไม่ขอประทานให้ใครอื่น หากผู้ใดกล้าแหลมหน้ามาขอแบบนี้อีก ผู้นั้นคงได้ลงไปนอนคุยกับรากมะม่วง จากนั้นพระพันวษาจึงบัญชาให้พระยาท้ายน้ำขุนนางหนึ่งติดตามจมื่นไวยกลับไปแจ้งให้พระยายมราชยุติโทษประหารนางวันทองเสียทันที

พระไวยได้ฟังดังนั้นก็รีบรับพระราชโองการแล้วออกจากท้องพระโรงพร้อมพระยาท้ายน้ำทันที จากนั้นพระไวยจึงปรึกษาพระยาท้ายน้ำว่า เวลานี้เย็นย่ำค่ำแล้วจะชักช้าอีกไม่ได้เด็ดขาดเพราะได้รับปากสัญญากับพระยายมราชท่านไว้แล้ว ครั้นพ้นประตูวังทั้ง๒จึงขึ้นม้าคนละตัว เหล่าบ่าวไพร่เคลื่อนพลตามไปติดๆ ขบวนของพระไวยเร่งเดินทางโดยใช้ธงขาวคอยโบกไปเป็นสัญญาณ

แต่ด้วยชะตาแม่วันทองจะถึงฆาต ครั้นขบวนพระไวยเข้าสู่ระยะสายตาของพระยายมราชที่เฝ้าลานประหารอยู่(ซึ่งก็คงกระวนกระวายใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน) พระยายมราชที่ได้รับพระบัญชาให้คุมตัวแม่วันทองมายังลานประหารตั้งแต่เช้าตรู่ ซึ่งเมื่อบวกเวลาที่ต้องรอพระไวยไปขอพระราชทานอภัยโทษกลับมา ก็คะเนได้ว่า ณ เวลานั้นคงเป็นยามเที่ยงรึค่อนบ่ายซึ่งแสงแดดกำลังแรงกล้าร้อนระอุ ด้วยสภาพอากาศเช่นนี้เองที่อาจเป็นสาเหตุให้พระยายมราชเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ตาลายคล้ายจะเป็นลมจนอาจต้องการใช้ยาหม่องน้ำบางยี่ห้อ เกิดความสับสนเข้าใจผิดไปอย่างมโหฬารไปว่า เมื่อเช้านี้พระไวยไปเข้าเฝ้าด้วยการเดินเท้า แล้วไฉนใครกันที่ขี่ม้าเร็วพร้อมโบกธงหยอยๆมุ่งมาแต่ไกล ชะรอยว่าพระไวยที่ไปทูลคงทำพลาดให้พระพันวษาทรงกริ้วเลยไม่ได้กลับมา นึกได้ดังนี้ พระยายมราชเองก็เริ่มหวั่นใจจึงรีบสั่งให้เพชฌฆาตเข้ามายุดตัวแม่วันทองไปประหารเสียให้ทันก่อนที่จะถูกพระราชอาญาตามไปด้วย

แม่วันทองตระหนกตกใจจึงร้องขอความช่วยเหลือ ขุนแผนที่เตรียมตัวใช้แผนสำรองอยู่แล้วก็รีบโดดข้ามหัวแนวผู้คุม(วิชาตัวเบา?)เข้ามาขบฟันกั้นกอดร่างนางไว้ ขุนช้างเองก็ตะโกนส่งแรงใจให้ชิงตัวนางวันทองออกมาให้ได้ ขุนแผนและเพชฌฆาตต่างยื้อยุดกันไปมา ครั้นเพชฌฆาตฟันถูกร่างขุนแผนก็ไม่เข้า(ที่ขุนแผนขบฟันไว้ตอนแรกโดดเข้ามาป้องน่าจะเป็นการเตรียมปรับเดินลมสำหรับใช้วิชา) ดาบของเพชฌฆาตก็พังยู่ยับเยินไป เหล่าทหารและขุนนางจึงพากันเข้ามาลุมล้อจนสามารถฉุดลากตัวขุนแผนออกจากนางวันทองได้สำเร็จ ขุนแผนยังพยายามดิ้นรนบิดตัวให้หลุดแต่ไม่สำเร็จ(สมาธิขุนแผนตอนนั้นก็คงขาดสะบั้นจนไม่อาจใช้วิชาใดๆได้แล้วเช่นกัน)

เพชฌฆาตพร้อมดาบใหม่ไฉไลกว่าจึงแกว่งดาบสาวเท้าตรงรี่เข้ามาบั่นศีรษะนางวันทองออกจากร่างทันที ซึ่งตรงกับที่พระไวยถึงลานประหารและโดดลงจากหลังม้าตรงเข้ากอดเท้ามารดาร้องร่ำไห้จนสลบแน่นิ่งไป ฝ่ายขุนแผนเองก็ล้มทั้งยืน ด้านขุนช้างก็ล้มกลิ้งแน่นิ่งอยู่ไกลๆ เหล่าบ่าวไพร่ต่างสับสนอลม่าน นางทองประศรี(แม่ของขุนแผน)ทรุดตัวลงเกลือกกลิ้งกับพื้นดิน นางสร้อยฟ้าและนางศรีมาลา(ลูกสะใภ้ของแม่วันทอง)ล้มค่ำหงาย นางแก้วกิริยาทรุดกายกลิ้งทิ้งลูกชาย ว่าง่ายๆที่กล่าวมาทุกคนนี้สลบหมดเลย(เอ รายชื่อที่ยกมาหมดนี้ ไม่มี นางศรีประจัน แม่แท้ๆของนางวันทองเลยแฮะ)

บรรดาชาวบ้านที่มามุงดูอยู่แออัดก็วุ่นวาย บ้างเป็นลมตาม บ้างก็วิ่งหนี(อาจไปประโคมข่าวว่าประหารแล้ว) บางคนที่ตั้งสติได้ดีหน่อยก็เข้ามาช่วยกันนวดเฟ้นแก้ไขให้บรรดาคนที่เป็นลมเป็นการปฐมพยาบาลกันไป ด้านพระไวยกับขุนแผนนั้น หมอหลวงเข้ามารักษานัดยานัตถุ์และคอยเอาน้ำมาทาลูบไล้ให้จนฟื้นสติ ทุกคนในครอบครัวขุนแผนรวมถึงบรรดาลูกสะใภ้ตายร่ำไห้เสียใจ พระไวยกล่าวโทษแต่ตนเองที่มาช้าไป ทุกคนในที่นั้นถูกเลือดแม่วันทองติดกายกันทั่วทุกคน

พระไวยที่อยู่ในอาการคลุ้มคลั่งเริ่มต่อว่าขุนแผนที่ไม่ยอมช่วยแม่วันทองทั้งๆที่ตนก็ได้กำชับไว้หนักหนา แล้วจึงตัดพ้อต่อว่าขุนแผนนั้นจะมามัวอาลัยแม่วันทองอยู่ทำไม ในเมื่อยังมีภรรยาเหลืออยู่อีกเป็นสลอน และถึงขุนแผนอยากช่วยแม่วันทองจริงทำไมยังปล่อยให้ถูกประหารได้ทั้งๆที่ตัวขุนแผนก็มีวิชามาก แม้ศัตรูนับหมื่นแสนก็ยังไม่พรั่น อีกทั้งมนตรก็สารพันคนนับร้อยก็ไม่อาจฉุดได้ แค่เพชฌฆาตคนเดียวถ้าเป่าคาถาจังงังใส่ก็น่าจะหยุดได้แล้ว ที่แม่วันทองถูกประหารเป็นเพราะขุนแผนไม่ช่วยรึเสื่อมวิชาไปหมดแล้ว จากนั้นจึงหันไปหาท่านเจ้ากรมยมราช(ผู้ซวยจัด)พร้อมทวงถามถึงสัญญาที่ให้กันไว้เป็นมั่นเหมาะ พร้อมถามว่า ที่รีบประหารนี้เพราะกลัวพระไวยกลับมาทันใช่รึไม่ มีความแค้นส่วนตัวอะไรกับพระไวยรึเปล่า มิหนำซ้ำยังฟันขุนแผนทั้งที่ไม่มีโทษแต่ดีว่าฟันไม่เข้าจึงรอดตาย(คงมีรอยขาดจากการฟันที่เสื้อขุนแผนให้เห็น) จากนั้นพระไวยจึงผูกอาฆาตเจ้ากรมยมราชอยากล้างแค้น แล้วจึงหันไปพบเพชฌฆาตจึงลุกขึ้นถลันเข้าเตะจนคะมำหงายแล้วฉวยดาบขึ้นจะฆ่าให้ตาย เล่นเอาชาวบ้านที่มามุงวงแตกไปคนละทาง จากนั้นพระไวยจึงตรงเข้าถีบขุนช้างที่ไม่ทันตั้งตัวตรงต้นคอเป็นรายต่อไป ฝ่ายพระยายมราชก็ได้แต่กลัวจนตัวงอร้องขอชีวิต

ขุนแผนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบตรงเข้าฉุดพระไวเอาไว้ พร้อมพยายามอธิบายให้ฟังว่า ความตายของนางวันทองนั้นเกิดเพราะกรรมวิสัย ตนนั้นนั่งอยู่ใกล้ก็ไม่ทันคิด ตอนที่โดดไปป้องแม่วันทองไว้จึงไม่ทันได้ใช้วิชาแก้ไขไปตามที่ถูกที่ควร เมื่อถูกลุกลากกันสุดฤทธิ์ชีวิตแม่วันทองจึงบรรลัย แต่พระไวยปัดมือขุนแผนออกมุ่งหมายแต่จะฆ่าฟัน ขุนแผนจึงลงมือฉุดอาวุธให้หลุดมือจนพระไวยกลิ้งไปใกล้ศพมารดา พระไวยจึงตัดพ้อให้ศพนางวันทองฟังว่าภารกิจสำเร็จแล้วแท้ๆทว่ากลับมาช้าเกินไปทั้งที่รีบใช้ม้าเร็วเดินทางมากับพระยาท้ายน้ำ จากนั้นก็เข้ากอดศพมารดาจนสลบไปอีกรอบ ขุนแผนเห็นดังนั้นก็ตกใจจึงเข้าไปนวดเฟ้นพยาบาลจนฟื้นและพยายามปลอบใจให้ปลงตกสงบจิต และชี้ให้เห็นว่าการคร่ำครวญร้องไห้นั้นไม่เป็นประโยชน์แล้ว ตอนนี้ควรคิดอ่านเรื่องการจัดการศพให้แม่วันทองจะดีกว่า

พระไวยเริ่มได้สติเห็นชอบตามสัจจธรรม จึงเบือนหน้าหันสั่งเหล่าบริวารให้นำผ้าขาวมามัดตราสังข์แม่วันทอง พร้อมตัดไม้กระดานต่อโลงและเอาใบตองรองในโลงไว้ทันที เตรียมเสร็จจึงยกโลงแม่วันทองขึ้นใส่ไม้หามเข้าไปฝังป่าช้า ครั้นเกณฑ์คนมาเฝ้าศพครบแล้ว ทุกคนจึงพากันกลับเรือนซึ่งก็เงียบเหงาไม่ต่างจากป่าช้าพาให้บรรดาเพื่อนบ้านยิ่งอนาถใจ ฝ่ายชุนช้างก็รีบให้พวกบ่าวไพร่จัดหาเรือแล้วเร่งพากันกลับสุพรรณแต่เช้าตรู่ ไปนั่งเศร้านอนเศร้าที่บ้านตัวเองต่อไปโดยไม่กล้าบอกเรื่องแม่วันทองให้นางศรีประจันที่เป็นแม่ยายรับทราบ(เพราะจะว่าไป เรื่องนี้มันก็เกี่ยวกับนางศรีประจันออกจะคับเต็มประตูอยู่แล้ว)

วันหนึ่งขุนแผนเกิดนึกถึงนางวันทองเข้า พอรุ่งเช้าจึงให้พวกบ่าวไพร่ไปแจ้งข่าวการตายของแม่วันทองให้นางศรีประจันทราบ(ขุนแผนคงไม่เห็นนางศรีประจันมาร่วมงานศพลูกสาวตัวเองเลยรู้ว่านางคงไม่ทราบข่าว) นายสารับคำนายแล้วจึงออกเดินทางตัดทุ่งมุ่งถึงสุพรรณจึงตรงเข้าบ้านนางศรีประจัน พบนางสายทองออกมารับหน้า นายสาจึงทักทายตามมารยาทพร้อมแนะนำตัวว่านำข่าวจากขุนแผนแล้วแจ้งข่าวให้ทราบ ตั้งแต่เรื่องเมื่อกลางดึกคืนวานซืนที่พระไวยหุนหันมาลักตัวหม่อมแม่วันทองไป ขุนช้างเกิดบันดาลโทสะจึงไปกราบทูลสมเด๗พระพันวษาให้ทรงทราบ แต่เรื่องราวกลับบานปลายไปใหญ่โตจนตอนนี้หม่อมแม่วันทองถูกประหารไปแล้วเมื่อวานนี้ นางสายทองได้ฟังดังนั้นก็สลบล้มทั้งยืน พวกบ่าวไพร่ต่างพากันมาช่วยแก้ไขด้วยความตกใจแต่นางก็ไม่ฟื้น

นางศรีประจันเห็นนางสายทองล้มฟุบไปก็ตกใจจนตัวสั่นรีบร้องถามไปว่านายสาทำอะไรนางสายทองไปทำร้ายทุบตีนางรึเปล่า นายสาตกใจจึงรีบบอกนางทองประศรีไปว่าเป็นเพราะหม่อมแม่วันทองตายหาใช่ตนเป็นเหตุไม่ นางศรีประจันได้ยินว่าจะตาย ก็ตกใจจนนอนหงายจมกระบะข้าว พอนางตั้งตัวลุกขึ้นได้ก็เล่นเอาข้าวให้ผีกับข้าวให้พระปนกันวุ่นไปหมด(ขุนแผนคิดยังไงถึงใช้ให้นายสามาทำงานแบบนี้กันนะ) แต่ด้วยความที่ได้ยินมาไม่ครบ เลยทำให้นางคิดไปว่าขุนช้างนั้นปิดข่าว ลูกสาวนางเจ็บป่วยตั้งแต่ไหนมาก็ไม่บอก ดันมาบอกให้ไปดูใจเอาตอนลูกสาวนางใกล้จะตายจึงรีบตรงไปเรือนขุนช้างพร้อมบ่าวไพร่ แต่พอมาถึงก็นึกแปลกใจเพราะบันไดเรือนขุนช้างก็ชักขึ้นเก็บเสียไม่ให้ใครขึ้น(ขุนช้างไม่รับแขก) นางจึงให้นายเบี้ยเอาพะองพาดหน้าต่างแล้วนางก็ปีนเข้าไปในหอกลาง พอพากันมาถึงก็เห็นขุนช้างนั่งร้องไห้ฟูมฟายจนตัวงอ นางก็แปลกใจก็ทักตาปอหลอที่มาด้วยกันว่าเรื่องชักพิกล ขุนช้างเลยรีบบอกเรื่องทั้งหมดตั้งแต่พระไวยมาลักแม่วันทองไปจนกระทั่งนางถูกประหาร พอนางรู้ว่าแม่วันทองตายก็ลมจับล้มพับไปทันที ขุนช้างพยายามช่วยแต่นางก็ไม่ฟื้น จึงให้บ่าวไพร่รีบวิ่งไปตามหมอมาทันที

หลังแก้ไขกันครู่ใหญ่ นางศรีประจันก้ฟื้นขึ้นมาในสภาพหน้าซีดตัวสั่นฟูมฟายหาแต่ลูกสาว ขุนช้างต้องคอยนั่งดูแลอยู่เป็นชั่วยามจึงให้คนนำเปลมาหามนางพร้อมตามไปส่ง พอถึงเรือนก็ช่วยประคองขึ้นบันไดซึ่งนางก็เดินได้ไม่ตรงขั้นนัก ครั้นนั่งได้นางก็ยังไม่หยุดรำพึงรำพันถึงลูกสาวประมาณหนึ่งและนางเองก็ได้หลุดความในใจบางอย่างออกมาว่า

โอ้ว่าเจ้าวันทองของแม่เอ๋ย ไม่ควรเลยจะเข้าไปให้เขาฆ่า

ถ้าเจ็บไข้อยู่บ้านกับมารดา ก็จะได้รักษาพยาบาล

เมื่อพ่อตายหมายจะอยู่เป็นเพื่อนแม่ จนเถ้าแก่ไม่พรากไปจากบ้าน

เพอิญเนื้อเคราะห์กรรมนำบันดาล ไปได้ผัวจัณฑาลให้ผลาญตัว

ถ้ารู้ว่ามันจะเป็นถึงเช่นนี้ จะให้บวชเป็นชีที่ท่านขรัว

ถึงเงินทองกองให้ไม่เมามัว อันลูกผัวกูมิให้ผู้ใดเชย

ทิ้งอ้ายแผนอ้ายล้านกระบานใส ล้วนจัญไรได้มาเป็นลูกเขย

แย่งกันเหมือนหมาหมูกูไม่เคย เอาจนเลยฉิบหายถึงวายปราณ

อ้ายลูกชายพลายงามเมื่อยามเด็ก เห็นเล็กเล็กก็เอ็นดูอยู่ว่าหลาน

มิรู้ว่าเติบใหญ่จะใจพาล พลอยล้างผลาญมารดาชีวาวาย

โอ้อกกูแก่เถ้ามาเปล่าเปลี่ยว ตัวคนเดียวลูกผัวก็สูญหาย

จะอยู่ไยให้ยากลำบากกาย แกฟูมฟายครวญครํ่าอยู่รํ่าไร ฯ

 

นางสายทองที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็นั่งคิดถึงนางวันทองน้ำตาไหล จึงตัดสินใจได้ลานางทองประศรีลงเรือเข้าพระนครแล้วตรงถึงบ้านขุนแผนและรีบถามว่าศพน้องวันทองอยู่ที่ไหน ขุนแผนจึงว่าฝังไว้ที่วัดตะไกรแล้วให้คนพาไปทันที ซึ่งนางก็ร้องไห้มาตลอดทางตั้งแต่ลงจากเรือนจนถึงวัด พอมาถึงป่าช้านางก็สลบพอดี บรรดาบ่าวไพร่จึงต้องช่วยกันแก้ไขจนฟื้นขึ้นมา(บ่าวไพร่และประชาชนสมัยนั้นคงได้ร่ำเรียนวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับคนเป็นลมมาเป็นอย่างดี) พอได้สตินางก็คร่ำครวญอยู่หน้าหลุมศพ เที่ยวตัดพ้อว่าน้องตัดช่องน้อยว่าน้องหนีพี่ไปตามเรื่อง แล้วแม่ก็เริ่มลากยาวลำเลิกเลยเถิดเตลิดเปิดเปิงจนไปถึงเรื่องที่เคยร่วมเรือนร่วมใจแล้วร่วมผัวมาด้วยกัน(โถ ไปหมดแล้วสติสตัง พูดไปเรื่อยแม่คุณเอ๊ย ดีนะแม่วันทองไม่ลุกจากหลุมขึ้นมากระชากจิกตบเดี๋ยวนั้นเลยน่ะ) แล้วแม่สายทองก็อยู่เฝ้าศพจนมืดค่ำถึงได้เดินกลับไปบ้านพระไวย แล้วนางก็ไม่ยอมกลับสุพรรณอีกเลยโดยอ้างว่าจะขออยู่ช่วยงานพระไวย

รุ่งสาง พระไวยคิดจะจัดพิธีศพให้มารดาอย่างใหญ่จึงไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษาเพื่อหารือ ครั้นพระพันวษาพบพระไวยก็ทักขึ้นว่าเรื่องเมื่อวานนี้สรุปว่าจบลงด้วยดีแล้วใช่ไหม เห็นพอขอได้ก็ดีใจจนไม่กลับมาเฝ้าเลย แล้วทางขุนแผนเล่าว่ากระไร พระไวยได้ยินดังนั้นก็น้ำตาไหลจึงบังคมทูลไปว่าไม่ทันกาลแล้วก็ร้องไห้ต่อไป พระพันวษาได้ฟังก็ตกใจ ได้แต่นั่งตะลึงนิ่งจนพูดอะไรไม่ออก หลังตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง พระองค์จึงตรัสกับพระไวยด้วยความสงสารทั้งที่ขอได้แล้วแต่ก็ไม่พ้นอาญา ดังนั้นพระองค์เยขอเป็นธุระจัดการเรื่องเงินทองและข้าวของแต่งศพนางวันทองทั้งหลายด้วยองค์เอง หากต้องการอะไรก็ให้บอกมาได้เลย

อย่าทุกข์ไปกูจะให้ซึ่งเงินทอง ข้าวของแต่งศพให้เหมาะเหม็ง

หลายวันคืนให้ครื้นเครง อย่าได้เกรงต้องการสิ่งอันใด

เอ็งมาเอาข้าวของท้องพระคลัง กูจะสั่งพนักงานให้จ่ายให้

จัดแจงให้งามตามแต่ใจ จะต้องการสิ่งไรอย่าอำปลัง

มีทั้งโขนละครมอญรำ มวยปล้ำคํ่าลงจงมีหนัง

ตีประโคมฆ้องกลองให้ก้องดัง ให้หีบตั้งใส่ศพให้ครบครัน

ร้านม้าเครื่องประดับสรรพเสร็จ การเล่นเบ็ดเดล็ดทุกสิ่งสรรพ์

ดอกไม้ไฟช่องระทาสารพัน ทำให้ทันการของเอ็งอย่าเกรงใจ ฯ

พระไวยได้ยินดังนั้นก็ยินดีก้มกราบ จากนั้นจึงขออนุญาตบวชแทนคุณมารดาสัก๗วัน ซึ่งพระพันวษาเองก็เห็นชอบด้วยอย่างยิ่ง และเมื่อได้งบฯหลวงมาสนับสนุน การจัดงานศพให้แม่วันทองจึงดำเนินไปได้อย่างราบรื่นไร้กังวลเนื่องจากสามารถเปิดเผยที่มาของทรัพย์สินทั้งหมดในงานได้อย่างชัดเจน เมื่อจัดแจงแต่งเครื่องศพให้แม่วันทองครบถ้วนเรียบร้อยดีแล้วจึงรีบขนของทั้งหมดไปไว้ที่วัดเพื่อตกแต่งสถานที่ บรรดาญาติแม่วันทองเองก็มากันพร้อมหน้า นางศรีประจันก็เดินทางมาร่วมปลงศพให้ลูกสาวตัวเองด้วย

พอถึงยามบ่ายจึงได้ช่วยกันขุดศพแม่วันทองขึ้นมาอีกครั้งเพื่อทำความสะอาดและบรรจุใส่หีบพระราชทานซึ่งมีเครื่องอานวางพร้อมเป็นลำดับ พอมโหรีเริ่มบรรเลงนิมนต์เชิญพระสงฆ์โดยมีพระไวญนุ่งห่มชุดขาวสวมลอมพอกคอยโปรยข้าวตอกนำ เมื่อถึงโรงพิธีจึงได้ยกโลงขึ้นตั้งบนนั่งร้าน ซึ่งเครื่องศพที่ตบแต่งอยู่ในงานนั้นล้วนวิจิตรพิศดารจนไม่น่าจะยกมาบรรยายได้หมด จึงขอยกไว้ให้ไปตามหาอ่านกันดู ครั้นถึงยามเย็น การแสดงต่างๆจึงเริ่มขึ้น ดังนี้

๏ ครั้นแสงสุริยันตะวันเย็น พนักงานการเล่นทุกภาษา

มาโหมโรงแต่คํ่ายํ่าสนธยา สาละพาเฮโลโห่เกรียวไป

ครั้นรุ่งแสงสุริฉานประมาณโมง ก็ลงโรงเล่นประชันอยู่หวั่นไหว

โขนละครมอญรำฉํ่าชูใจ ร้องรับกรับไม้นั้นพร้อมเพรียง

พวกหุ่นเชิดชักยักย้ายท่า คนเจรจาสองข้างต่างถุ้งเถียง

จำอวดเอาอ้ายค้อมเข้าด้อมเมียง พูดจาฮาเสียงสนั่นโรง

พวกงิ้วถือล้วนแต่ทวนง้าว หน้าขาวหน้าแดงแต่งโอ่โถง

บ้างรบรุกคลุกคลีตีตุ้มโมง บ้างเข้าโรงบ้างออกกลอกหน้าตา

แจ้งก็มาเล่นเต้นปรบไก่ ยกไหล่ใส่ทำนองร้องฉ่าฉ่า

รำแต้แก้ไขกับยายมา เฮฮาครื้นครั่นสนั่นไป

ซึ่งการแสดงทั้งหมดนี้ได้ถูกจัดขึ้นโดยมีจุดประสงค์หลักก็เพื่อไม่ให้เหล่าคนเป็นเศร้าโศกจากความสูญเสียมากจนเกินไปนั่นเอง ครั้นตกบ่ายวันรุ่งขึ้นจึงมีการทิ้งทานตามธรรมเนียม และตามด้วยการจุดดอกไม้ไฟและจัดการแสดงต่างๆต่อในยามเย็น

ขอยกบางช่วงของเหตุการณ์มาพอสังเขปเพียงเท่านี้ ฯ

 

บล็อกที่น่าจะชอบ

19/09/2017
ในทุกๆปี ก็จะมีอนิเมะแนวสาวน้อยเวทมนตร์มาให้เราได้ดูกันเยอะแยะไปหมด แต่แอดเชื่อมั่นว่าเรื่องที่ยังคงอยู่ในใจเราคงหนีไม่พ้นแต่ละเรื่องที่แอดลิสต์มาให้ดูแน่นอน มาดูกันว่าเราเกิดทันยุคไหนกันบ้าง จริงๆก็ไม่ได้แก่หรอก เห็นคุณแม่ดูก็เลยดูตามบ้างอะไรบ้าง บางเรื่
16/02/2017
เมื่อเวลาผ่านไป หน้าตาคนเราก็ต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แล้วแต่ว่าจะโดนทำร้ายมากน้อยแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่คนที่เปลี่ยนไป เหล่าหนุ่มสาวอนิเมะมังงะเปลี่ยนไปตามลายเส้นของนักวาดเช่นกัน (มาเป็นคำคมเลยแฮะ คมจนบาดมือจนเป็นแผลละมั้งเนี่ย 55555)วันนี้แอดรวมหนุ่มสา
16/05/2017
เฮลโหลเวิลด์โอฮาโยะโกไซมาส คอนนิจิวะ คมบังวะ โอยาสุมินาไซ เลือกเอาเลยค่ะ แอดไม่รู้ว่าแต่ละคนจะเข้ามาอ่านช่วงไหน งั้นสวัสดีทุกช่วงเวลาพร้อมกู๊ดไนท์เลยแล้วกัน 555555 วันนี้แอดมัวแต่นั่งส่องแฟนอาร์ตวิคเตอร์จากเรื่อง Yuri!!! On Ice เพลิน จนคิดว่าทำไมผู้ชายผมส
06/10/2017
“กาแฟ : ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่าอดีตนั้นเคยเป็นเครื่องดื่มร้อนที่ทำจากเมล็ดกาแฟมีส่วนประกอบของคาเฟอีน จึงมีสรรพคุณชูกำลัง แก้ง่วงทำให้ตื่นตัวและได้รับความนิยมในการดื่มมากจนนำมาแปรรูปใหม่ในรูปแบบต่างๆ ทั้งร้อนและเย็น บ้างก็มีเมนูปั่นเพื่อให้ถูกปากคน
ส่ง
ความคิดเห็น ()