การคลอดพิสดารของเหล่าผู้มีบุญในนิทานพื้นบ้าน
วันที่โพสต์: 09/11/2018

จาก การคลอดพิสดารของเหล่าผู้มีบุญในนิทานพื้นบ้าน

    นิทานพื้นบ้านดั้งเดิมหลายเรื่อง ผู้มีบุญญาธิการซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่อง มักมีกำเนิดที่พิสดารการคลอดที่ผิดธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ และไม่สมกับความเป็นผู้มีบุญญาธิการ เช่น กรณีของ พระสังข์ทอง เป็นต้น ซึ่งการคลอดอันแปลกประหลาดเช่นนี้ มีต้นฉบับดั้งเดิมปรากฏอยู่ในบันทึกทางพระพุทธศาสนา เรื่องตำนานต้นราชวงศ์กลุ่มกษัตริย์ลิจฉวี ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้

    พระอัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสีพระองค์หนึ่ง ทรงพระครรภ์ เมื่อพระนางทรงทราบจึงทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชาจึงพระราชทานเครื่องบริหารพระครรภ์ พระนางเมื่อทรงได้รับการบริหารโดยชอบ ก็เสด็จเข้าสู่เรือนประสูติ ในเวลาพระครรภ์แก่ อนึ่ง เหล่าผู้มีบุญทั้งหลายย่อมคลอดออกจากครรภ์ในเวลาใกล้รุ่ง

    ด้วยเหตุนั้น ในเวลาใกล้รุ่ง พระอัครมเหสีก็ประสูติเป็นชิ้นเนื้ออันมีสีแดงดุจน้ำครั่งคล้ายกลีบดอกชบาสดที่ไม่เหี่ยวแห้ง

    ส่วนพระเทวีพระองค์อื่นๆพระเจ้าพาราณสีพระองค์นั้น ก็ประสูติพระโอรสอันงามเสมือนรูปทอง พระอัครมเหสีครั้นทราบว่าตนประสูติชิ้นเนื้อ จึงทรงดำริว่า

“ ความอัปยศจากเสียงติเตียนจะพึงเกิดแก่เรา ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระราชา ”

    ด้วยทรงกลัวการความอัปยศและการติเตียนนั้น พระนางจึงทรงใส่ชิ้นเนื้อนั้นลงในภาชนะใบหนึ่ง แล้วครอบปิดไว้ และได้ประทับตราพระราชลัญจกรอันเป็นเครื่องหมายของพระเจ้าพาราณสี แล้วนำไปทิ้งให้ลอยไปตามกระแสแม่น้ำ

    เมื่อภาชนะนั้นถูกทิ้งลงไป เทวดาทั้งหลายก็เตรียมการอารักขา ภาชนะนั้นจึงไม่ถูกภัยจากคลื่นรบกวน และลอยไปตามกระแสแม่น้ำคงคา

    สมัยนั้น ยังมีดาบสตนหนึ่งอาศัยตระกูลคนเลี้ยงโคอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ในเวลาเช้าตรู่ ดาบสนั้นลงสู่แม่น้ำ ได้เห็นภาชนะนั้นลอยมา จึงจับยกขึ้นโดยบังสุกุลสัญญาด้วยเข้าใจว่าเป็นของที่เขาทิ้งแล้ว

    ดาบสรูปนั้นจึงได้เห็นแผ่นอักษรและตราพระราชลัญจกร จึงแก้ออกดูเห็นชิ้นเนื้อนั้น ดาบสรูปนั้นครั้นเห็นแล้วจึงคิดว่า

“ ชิ้นเนื้อนี้พึงเป็นสัตว์เกิดในครรภ์ แต่ทำไมจึงไม่เน่าเหม็นเล่า ”

    ดาบสรูปนั้นจึงนำมาสู่อาศรมวางชิ้นเนื้อไว้ในที่สะอาดหมดจด

    ผ่านไปครึ่งเดือน ชิ้นเนื้อก็แบ่งตัวเป็น ๒ ชิ้น ดาบสเห็นดังนั้น จึงวางไว้ในที่ๆดีกว่าเดิม

    ต่อจากนั้น ผ่านไปอีกครึ่งเดือน ชิ้นเนื้อทั้ง ๒ ชิ้นก็เกิดปมชิ้นละ ๕ สาขาเพื่อเป็น ๒มือ ๒เท้าและ ๑ศีรษะ ดาบสก็บรรจงวางไว้เป็นอย่างดีอีก

    ต่อจากนั้นอีกครึ่งเดือน ชิ้นเนื้อชิ้นหนึ่งก็เป็นทารกเด็กชาย เสมือนรูปทอง อีกชิ้นหนึ่งก็เป็นทาริกาเด็กหญิง

    ดาบสเกิดความรักดังบุตรในทารกทั้งสองนั้น น้ำนมได้เกิดแม้แต่หัวแม่มือของดาบสนั้น ตั้งแต่นั้นมา ดาบสได้ให้น้ำนมแก่เด็กทั้ง๒ เมื่อดาบสนั้นบริโภคภัตแล้ว ก็หยอดน้ำนมในปากของทารกทั้งสอง

    อาหารใดๆที่เข้าไปในท้องของทารกทั้งสองนั้น ทั้งหมดจะปรากฏเห็นเหมือนการใส่เข้าไปในภาชนะทำด้วยแก้วมณี ทารกทั้งสองจึงปรากฏชื่อว่า ลิจฉวี เพราะไม่มีผิว หรือเพราะมีผิวใส

    ดาบสเลี้ยงดูทารกทั้งสอง พอตะวันขึ้นก็เข้าไปสู่บ้านแสวงหาอาหาร และกลับมาในยามสายด้วยความเป็นห่วงทารกทั้งสอง คนเลี้ยงโคทั้งหลายรู้ถึงการขวนขวายและความกังวลนั้นของดาบสนั้น จึงกล่าวว่า

“ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ การเลี้ยงดูทารกย่อมเป็นกังวลห่วงใยแก่เหล่านักบวช ขอท่านโปรดให้ทารกแก่พวกเราเถิด พวกเราจักช่วยกันเลี้ยงดู ขอท่านโปรดทำกิจกรรมของท่านเถิด ”

ดาบสก็ยอมรับ


    วันรุ่งขึ้น พวกคนเลี้ยงโคก็ช่วยกันทำหนทางให้เรียบแล้วโรยทราย โปรยด้วยดอกไม้ทั้งหลาย ยกธงผ้า มีดนตรีบรรเลงพากันมายังอาศรม ดาบสกล่าวว่า

“ ทารกทั้งสองมีบุญมาก พวกท่านจงช่วยกันเลี้ยงให้เจริญวัย ด้วยความไม่ประมาท ครั้นให้เจริญวัยแล้ว จงจัดการอาวาหวิวาหกันและกัน ท่านทั้งหลายต้องทำให้พระราชา(คือ ผู้ปกครองในอาณาจักรนั้น)ทรงพอพระทัยด้วยปัญจโครส( คือ นมสด, นมส้ม, เปรียง[นมข้น บ้างว่า เป็นนมก้อน อย่าง ชีส], เนยข้น, เนยใส ) จงคัดเลือกหาภูมิประเทศช่วยกันสร้างพระนครขึ้น และอภิเษกพระกุมารในนครนั้น ”

    แล้วดาบสนั้นจึงมอบทารกให้ พวกคนเลี้ยงโครับคำแล้วก็นำทารกไปเลี้ยงดู

    ทารกทั้งสองเมื่อเจริญเติบโตก็เล่นการเล่น ใช้มือบ้าง เท้าบ้าง ทุบถีบพวกเด็กลูกของคนเลี้ยงโคอื่นๆ ในที่ทะเลาะกัน เด็กลูกคนเลี้ยงโคเหล่านั้นก็ร้องไห้ ถูกมารดาบิดาถามว่าร้องไห้ทำไม ก็บอกว่า เจ้าเด็กไม่มีพ่อแม่ที่ดาบสเลี้ยงเหล่านี้ ข่มเหงเรา

    แต่นั้น มารดาบิดาของเด็กเหล่านั้นก็กล่าวว่า
“ เด็กสองคนนี้ชอบข่มเหงเด็กอื่นๆให้เดือดร้อน พวกเราไม่พึงสงเคราะห์เด็กเหล่านี้ ควรไล่เด็กเหล่านี้ออกไปเสีย ได้ยินว่า จำเดิมแต่กาลนั้น ประเทศที่นั้นจึงถูกเรียกว่า วัชชี ขนาด ๓๐๐ โยชน์


    เวลาผ่านไป คนเลี้ยงโคทั้งหลายทำพระราชาแห่งพาราณสีให้พอพระทัยด้วยแล้ว เลือกเอาประเทศที่นั้น สร้างพระนครลงในประเทศนั้น แล้วอภิเษกพระกุมาร ซึ่งพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา ตั้งเป็นพระราชา ได้ทำการวิวาหมงคลกับทาริกาของพระองค์ ได้วางกติกากฎเกณฑ์ ไว้ว่า จะไม่นำทาริกามาจากภายนอก และไม่ให้ทาริกาจากที่นี้แก่ใครๆ. โดยการอยู่ร่วมกันครั้งแรกของพระกุมารกุมารีนั้น ก็เกิดทารกคู่หนึ่ง เป็นธิดา ๑ โอรส ๑ โดยอาการอย่างนี้ ก็เกิดเป็นคู่ๆ ถึง ๑๖ ครั้ง. แต่นั้น เมื่อทารกเหล่านั้นเจริญวัยโดยลำดับ นครนั้นก็ไม่พอที่จะบรรจุอาราม อุทยาน สถานที่อยู่ บริวารและสมบัติ จึงล้อมรอบด้วยประการ ๓ ชั้น ระหว่างคาวุต หนึ่งๆ เพราะนครนั้นถูกขยายกว้างออกบ่อยๆ จึงเกิดนามว่า เวสาลี นี้แล

    ลำดับนั้น นายโคบาลทั้งหลายยังพระราชาทรงพอพระทัยด้วยปัญจโครสแล้ว จึงได้รับพระราชทานพื้นที่โดยปริมาณ ๑๐๐ โยชน์ นายโคบาลทั้งหลายจึงได้สร้างพระนครในพื้นที่นั้น แล้วอภิเษกกุมารซึ่งมีอายุได้ ๑๖ ปีให้เป็นพระราชา ได้ให้พระราชานั้นทรงทำวิวาหะกับเด็กหญิงผู้น้อง แล้วได้วางกติกากฎเกณฑ์ว่า พวกเราไม่พึงนำเด็กหญิงมาจากภายนอก และไม่ให้เด็กหญิงจากจากตระกูลนี้แก่ใครๆ

    ด้วยการอยู่ร่วมกันครั้งแรก เขาทั้งสองคนนั้นมีบุตรแฝดสองคน คือ ธิดา ๑ บุตร ๑ โดยประการฉะนี้ จึงมีบุตรแฝดถึง ๑๖ ครั้ง

    แต่นั้นมา เมื่อทารกเหล่านั้นเจริญวัยโดยลำดับ นครนั้นก็ไม่พอที่จะบรรจุอาราม อุทยาน สถานที่อยู่ บริวารและสมบัติ จึงต้องขยายนครถึง ๓ ครั้ง โดยการล้อมรอบด้วยกำแพงปราการ ๓ ชั้น โดยกำแพงห่างกันครั้งละ ๑ คาวุต เพราะนครนั้นถูกขยายกว้างออกบ่อยๆ จึงมีชื่อว่า เวสาลี

    กล่าวโดยสรุปคือ แต่เดิมมีการบันทึกว่าด้วย การคลอดออกมาเป็นชิ้นเนื้อสีแดงสด แต่ชิ้นเนื้อที่คลอดถูกนำไปลอยน้ำเพื่อเลี่ยงคำครหาที่จะตามมาในอนาคต ซึ่งภัยที่เกิดขึ้น ไม่จำเพาะเกิดที่อัครมเหสีเท่านั้น แต่อาจลุกลามมาถึงบุตรธิดาของนางด้วย

    เนื่องจากเป็นอัครมเหสีที่ทรงครรภ์ ความคาดหวังจึงมีสูง ด้วยว่า หากคลอดเป็นชาย ย่อมได้เป็นรัชทายาท แต่ในวังหลวงเอง การแข่งขันแย่งชิงอำนาจก็มีสูง หากนางคลอดเป็นเด็กชายเช่นมนุษย์ทั่วไป การแก่งแย่งชิงดีก็จะตามมา เพราะเทวีอื่นๆก็คลอดทารกที่รูปงามออกมายังมีอีกมาก และคงมีอยู่หลายนางที่หวังให้บุตรของตนเป็นรัชทายาทไม่มากก็น้อย แต่เมื่อนางคลอดเป็นชิ้นเนื้อ เรื่องราวก็จะเปลี่ยนไปคล้ายที่นางคาด คือ ถูกเพ่งเล็งและครหา ดังนั้น การที่ลอยชิ้นเนื้อ แต่ก็ยังอุตส่าห์ประทับตราแห่งกษัตริย์ให้ผู้อื่นได้รับรู้นั้นนั้น เป็นได้ว่า ใจจริง นางก็ยังรักบุตรธิดาของนางอยู่ แต่ก็รู้ว่า จะให้บุตรธิดาของนาง รึก็คือชิ้นเนื้อนั้น อยู่ในอาณาจักรนี้ต่อไปไม่ได้ เพราะภัยจากการแย่งชิงบัลลังก์กันเองนั้นรออยู่ในอนาคต เพื่อความปลอดภัย นางจึงต้องนำชิ้นเนื้อไปลอย โดยประทับตราแห่งกษัตริย์ไว้บนภาชนะที่ใส่ เพื่อหวังให้ผู้มีปัญญามารับหน้าที่ช่วยเหลือต่อไปในภายหน้านั่นเอง

    อนึ่ง เหตุที่ผู้มีบุญทั้งหลายไม่ควรคลอดเป็นมนุษย์ตามปกติ อาจประสบเหตุให้เสียชีวิตได้ ดังที่ปรากฏใน จุลลธรรมปาลชาดก ซึ่งมีเนื้อหา ดังนี้

    พระโพธิสัตว์ซึ่งประสูติเป็น ธรรมปาลกุมาร โอรสของพระเจ้ามหาปตาปะแห่งนครพาราณสี(พระเทวทัต) กับ พระนางจันทาเทวีอัครมเหสีของพระเจ้ามหาปตาปราช(พระมหาปชาบดีโคตมี) ซึ่งขณะที่ธรรมปาลกุมารนั้นมีอายุได้ ๗ เดือน ได้เป็นที่รักของพระนางจันทาอย่างมาก วันหนึ่งเมื่ออาบน้ำให้พระกุมารเสร็จ พระเทวีจึงนั่งเล่นกับพระกุมาร จึงไม่ได้ลุกขึ้นรับเสด็จพระเจ้ามหาปตาปะซึ่งเสด็จมายังตำหนักของพระเทวีแม้ว่าพระนางจะเห็นแล้วก็ตาม

    พระเจ้ามหาปตาปะจึงคิดว่า พระนางจันทานี้กระทำมานะถือตัวเพราะอาศัยบุตรก่อน ไม่สำคัญเราในเรื่องใดๆ หากเมื่อบุตรเติบโตขึ้น นางอาจไม่กระทำความสำคัญว่าเราเป็นมนุษย์ก็ได้ เราจักฆ่าเสียในบัดนี้แหละ

    พระเจ้ามหาปตาปะจึงเสด็จกลับไปประทับนั่งบนราชอาสน์ แล้วรับสั่งให้เรียกเพชฌฆาตมา โดยพระโองการ เพชฌฆาตนั้นจึงนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด ทัดทรงดอกไม้แดง แบกขวาน ถือท่อนไม้สำหรับวางพาดมือและเท้า มีปุ่มเป็นที่รองรับมาถวายบังคมพระราชากราบทูลว่า เทวะ ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำอะไร ครั้นกราบทูลแล้ว ได้ยืนคอยรับพระบัญชาอยู่

    พระเจ้ามหาปตาปะจึงรับสั่งว่า ท่านจงเข้าไปยังห้องอันมีสิริของพระเทวี แล้วนำธรรมปาลกุมารมา ฝ่ายพระเทวีทรงทราบว่า พระราชาทรงกริ้วแล้วเสด็จกลับไป จึงให้พระโพธิสัตว์นอนแนบพระอุระ ประทับนั่งทรงพระกรรแสงอยู่ นายเพชฌฆาตมาถึงเอามือตบพระปฤษฎางค์พระเทวีนั้นแล้ว ชิงพระกุมารไปจากพระหัตถ์ พามายังสำนักของพระราชา แล้วกราบทูลว่า เทวะ ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำอะไร พระเจ้ามหาปตาปะรับสั่งว่า ท่านจงให้นำเอาแผ่นกระดานมาแล้วเรียงลงข้างหน้า แล้วให้กุมารนั้นนอนบนแผ่นกระดาน นายเพชฌฆาตนั้นได้กระทำตามรับสั่งอย่างนั้น

    พระนางจันทาเทวีทรงปริเทวนาการร่ำไรตามมาข้างหลังพระโอรส เพชฌฆาตกราบทูลอีกว่า เทวะ ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำอะไร พระราชารับสั่งว่า จงตัดมือทั้งสองของธรรมปาลกุมาร พระนางจันทาเทวีกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชบุตรของหม่อมฉันเพิ่งมีอายุได้ ๗ เดือน ยังอ่อนอยู่ไม่รู้อะไร บุตรของหม่อมฉันนั้นไม่มีโทษผิด ก็โทษผิดแม้จะยิ่งใหญ่ก็ควรจะมีในหม่อมฉัน เพราะฉะนั้น ขอพระองค์จงรับสั่งให้ตัดมือทั้งสองของหม่อมฉันเถิด

    พระราชาทรงแลดูนายเพชฌฆาต นายเพชฌฆาตจึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จะกระทำอย่างไร พระราชาตรัสว่า ท่านอย่าชักช้า จงตัดมือทั้งสองเสีย ขณะนั้น นายเพชฌฆาตถือขวานอันคมกล้าตัดมือทั้งสองของพระกุมารเหมือนตัดหน่อไม้อ่อนฉะนั้น

    เมื่อนายเพชฌฆาตตัดมือทั้งสองอยู่ ธรรมปาลกุมารนั้นไม่ร้องไห้ ไม่ร่ำไร กระทำขันติและเมตตาให้เป็นปุเรจาริก อดกลั้นอยู่ ส่วนพระนางจันทาเทวีถือเอาปลายมือที่ขาดใส่ไว้ในพก มีโลหิตไหลอาบพระองค์ ทรงเที่ยวปริเทวนาการอยู่ นายเพชฌฆาตทูลถามอีกว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จะทำอะไร พระราชาตรัสว่า จงตัดเท้าทั้งสองเสีย

    พระนางจันทาเทวีได้สดับดังนั้น จึงอ้อนวอนให้รับสั่งตัดเท้าของพระนางแทน

    ฝ่ายพระราชาทรงสั่งบังคับเพชฌฆาตอีก นายเพชฌฆาตนั้นได้ตัดเท้าทั้งสองขาด พระนางจันทาเทวีถือเอาปลายเท้าใส่ไว้ในพก มีโลหิตโซมกาย ทรงร่ำไห้กราบทูลว่า ข้าแต่พระเจ้ามหาปตาปะผู้เป็นพระสวามี ทารกชื่อว่ามีมือและเท้าอันพระองค์ให้ตัดแล้ว อันมารดาจำต้องเลี้ยงดูมิใช่หรือ หม่อมฉันจักรับจ้างเลี้ยงบุตรของหม่อมฉัน ขอพระองค์จงประทานบุตรนั่นแก่หม่อมฉันเถิด

    นายเพชฌฆาตกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์กระทำตามพระราชอาชญาแล้ว กิจของข้าพระองค์เสร็จแล้วหรือ? พระราชาตรัสว่า ยังไม่เสร็จก่อน นายเพชฌฆาตกราบทูลว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพระองค์จะทำอะไร พระราชาตรัสว่า จงตัดศีรษะธรรมปาลกุมารนี้

    พระนางจันทาเทวีได้สดับดังนั้น จึงอ้อนวอนให้รับสั่งตัดศีรษะของพระนางแทน แล้วจึงน้อมศีรษะเข้าไป เพชฌฆาตกราบทูลถามพระราชาอีกว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จะกระทำอะไร? พระราชาตรัสว่า จงตัดศีรษะของธรรมปาลกุมารนั้นเสีย นายเพชฌฆาตนั้น ครั้นตัดศีรษะแล้ว จึงกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์กระทำตามพระราชอาชญาแล้วหรือ พระราชาตรัสว่า ยังไม่ได้กระทำก่อน นายเพชฌฆาตกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพระองค์จะกระทำอะไรอีก? พระราชาตรัสว่า ท่านจงเอาปลายดาบรับร่างธรรมปาลกุมารนั้น กระทำกรรมกรณ์ชื่อ อสิมาลกะ

    นายเพชฌฆาตนั้นจึงโยนร่างของธรรมปาลกุมารนั้นขึ้นไปในอากาศ แล้วเอาปลายดาบรับร่างของธรรมปาลกุมารนั้น กระทำกรรมกรณ์ชื่อ อสิมาลกะ แล้วโปรยลงที่ท้องพระโรง

    พระนางจันทาเทวีทรงร่ำไห้อยู่อย่างนั้น พระหทัยก็แตกไป เหมือนไม้ไผ่ถูกไฟไหม้อยู่อย่างนั้นฉะนั้น พระนางได้ถึงความสิ้นพระชนม์ลง ณ ที่นั้นเอง

    ฝ่ายพระราชาก็ไม่อาจดำรงอยู่บนบัลลังก์ได้ จึงตกลงไปที่ท้องพระโรง พื้นที่อันเรียบสนิทแยกออกเป็นสองภาค พระเจ้ามหาปตาปะนั้นพลัดตกจากพื้นเรียบแม้นั้นถึงพื้นดิน แต่นั้น แผ่นดินทึบหนาถึงสองแสนสี่หมื่นโยชน์ ไม่อาจรองรับโทษผิดของพระราชานั้นได้ จึงได้แยกให้ช่อง เปลวไฟตั้งขึ้นจากอเวจีมหานรก หอบเอาพระเจ้ามหาปตาปะไปโยนลงในอเวจีมหานรก ประดุจหุ้มด้วยผ้ากัมพลที่ตระกูลมอบให้ฉะนั้น

    ส่วนพระนางจันทาเทวีและพระโพธิสัตว์ อำมาตย์ทั้งหลายได้ปลงพระศพให้แล้ว


    จากทั้ง ๒ เหตุการณ์แสดงให้เห็นว่า ผู้มีบุญ โดยเฉพาะผู้มีบุญที่เกิดเป็นรัชทายาท มีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ทั้งจากคนใกล้ตัวและคนรอบตัว แม้ว่าพระราชาผู้เป็นบิดาจะมีเมตตา แต่ผู้ริษยาในวังเองก็มีไม่น้อย หากผู้มีบุญคลอดออกมาเป็นมนุษย์ผุดผ่องเปี่ยมไปด้วยบารมี กลุ่มผู้ไม่หวังดีซึ่งมีอิทธิพลในวัง อาจรวมตัวกันทำการปราบดาภิเษกยึดอำนาจ เกิดเหตุจราจล การสู้รบ ลุกลามกลายเป็นเหตุนองเลือด และอาจบานปลายจนกลายเป็นสงครามที่นำความล่มสลายมาสู่อาณาจักรไปเลยก็เป็นได้

    ดังนั้น เมื่อนิทานพื้นบ้านได้รับอิทธิพลจากชาดก จึงได้มีความพยายามผนวกและดัดแปลงข้อมูลหลายรูปแบบเพื่อปกป้องชีวิตแรกเกิดของผู้มีบุญเหล่านั้น(รวมถึงชีวิตของประชาชนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวที่อาจต้องมาตายเพราะการแก่งแย่งบัลลังก์)ให้ปลอดภัย ซึ่งมีหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น

๑. ผู้มีบุญอาจคลอดเป็นสิ่งใดๆที่ไม่ใช่คน ซึ่งจะเรียกว่าคลอดออกมาไม่ใช่คนก็คงไม่ถูกนัก เพราะการคลอดแบบนี้ จะเป็นการพรางรูปกายไว้ในบางสิ่งเมื่อคลอด คือ ขณะที่คลอดนั้นเป็นมนุษย์ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จะถูกทำให้คลาดสายตาจากผู้มีบุญในเสี้ยววินาที ซึ่งในเสี้ยววินาทีนั้น ผู้มีบุญก็ได้กำบังกายไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งรูปแบบการคลอดนี้ ได้พัฒนาแยกสายไปอีกหลายทาง เช่น การคลอดออกมาพร้อมกับของวิเศษชนิดต่างๆ ซึ่งสามารถอนุมานได้ว่า ขณะอยู่ในครรภ์ของวิเศษในมือนั้นมีขนาดเล็กมากจนทารกในครรภ์สามารถกำได้มิดมือ และของวิเศษเหล่านั้นก็สามารถขยายตัวได้หลังจากที่ทารกคลอดออกมาแล้ว แบบกระบองของหงอคงกับพัดเหล็กขององค์หญิงพัดเหล็ก กระบองนี่ตามสื่อบางทีก็ซ่อนไว้ในหูได้ ส่วนพัดเหล็กนี่ตามสื่อก็อมไว้ในปากได้ด้วยซ้ำ


นอกจากนี้ การที่ผู้มีบุญถือของวิเศษไว้ในมือเมื่อแรกคลอดนั้น อาจเกิดขึ้นจากการที่มีเทวดาได้กำบังนำมาใส่ไว้ในของมือผู้มีบุญนั้น โดยอ้างอิงจาก มโหสถชาดก กล่าวโดยย่อคือ

ท้าวสักกเทวราชทอดพระเนตรดูมนุษยโลก เมื่อทรงทราบว่า พระมหาสัตว์คลอดจากครรภ์มารดาแล้ว จึงเสด็จมาด้วยอทิสมานกาย ไม่มีใครเห็นพระองค์ ครั้นในเวลาที่พระมหาสัตว์คลอดจากครรภ์มารดา ท้าวสักกะก็วางแท่งโอสถแท่งหนึ่งที่หัตถ์แห่งพระมหาสัตว์นั้น แล้วเสด็จกลับไปยังทิพยพิมานแห่งตน พระมหาสัตว์รับแท่งโอสถนั้นกำเอาไว้
 

 

๒. ผู้มีบุญอาจคลอดเป็นมนุษย์ทั่วไป แต่จะถูกสลับตัวกับสิ่งต่างๆ เช่น ขอนไม้ ลูกสัตว์ ฯลฯ เพื่อทำทีว่า เป็นการคลอดที่ผิดมนุษย์ตามนัยยะการคลอดในข้อที่๑ เพื่อหาทางกำจัดมารดาของผู้มีบุญนั้นให้พ้นทาง แต่ด้วยเหตุหลายประการตามแต่จะจินตนาการ มารดาและผู้มีบุญจะได้พบกันในภายหลัง และหาทางกลับมาแก้ไขสถานการณ์ให้บ้านเมืองได้ในที่สุด

อนึ่ง เหตุที่การคลอดผิดธรรมชาตินั้น มีโทษสูงสุด คือ การเนรเทศแทนที่จะเป็นการประหารนั้น เพราะเป็นธรรมเนียมที่ถือว่า มารดาผู้คลอดเป็นตัวกาลกิณี ไม่สมควรให้เลือดของนางตกต้องแผ่นดิน เพราะจะทำให้แผ่นดินเกิดเสนียดอัปมงคลเป็นกาลกิณีบ้านเมือง จึงต้องเนรเทศออกจากเมืองเสีย ส่วนตัวผู้มีบุญที่คลอดออกมาอย่างผิดธรรมชาตินั้น ก็ถือว่าเป็นสิ่งอัปมงคลเช่นกัน หากทำลายส่งเดชอาจมีผลร้ายต่อบ้านเมือง จึงต้องเนรเทศตามๆกันไปเพื่อความปลอดภัยของบ้านเมือง ซึ่งก็มีผลพลอยได้ตกถึงตัวผู้มีบุญนั้นๆด้วย เพราะจะได้มีเวลาเตรียมพร้อมฝึกฝนทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อกลับมาสะสางทั้งปัญหาครอบครัวและปัญหาบ้านเมือง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมในกาลต่อไป


 

อนึ่ง เหตุที่ผู้มีบุญมักคลอดออกมามีรูปลักษณ์พิสดารผิดธรรมชาติก็อาจเป็นได้ว่า นั่นคือผลสะท้อนตีกลับจากการที่ผู้จุติจากเทวโลกนั้นพยายามเข้าแทรกแซงเหตุการณ์ในโลกมนุษย์ก็ได้

เช่น ตัวผู้มีบุญกับคนที่เป็นพ่อแม่อาจไม่ได้มีความสัมพันธ์เป็นสาโลหิตติดต่อกันมานานหลายภพชาติ เมื่อจุติลงมาโดยที่มีความเกี่ยวข้องไม่มากพอและตัวผู้จุติเองก็ไม่มีบุญฤทธิ์ที่จะคานไว้ จึงเกิดผลตีกลับให้ต้องรับเคราะห์ร่วมกันไปหมดทั้งพ่อแม่ลูก โดยผู้มีบุญซึ่งเป็นลูกจะถูกผลกระทบสะท้อนกลับหนักที่สุด เพราะทำให้คลอดออกมามีรูปลักษณ์ผิดธรรมชาติ ส่วนพ่อแม่ก็ฟาดเคราะห์โดนหางเลขให้ถูกเนรเทศบ้างพลัดพรากจากกันบ้างไปตามท้องเรื่อง นี่ก็เป็นอีกทฤษฎีสำหรับการคลอดพิสดารของพวกผู้มีบุญในนิทานพื้นบ้านสยาม จึงได้ยกขึ้นมารวมไว้ในเรื่องเดียวกัน

ประเภท: อื่นๆ

บล็อกที่น่าจะชอบ

25/10/2015
ตามหัวข้อเลยค่ะ พอดีเราไปรื้อพวก Step สีน้ำอันเก่าๆมาแล้วพบว่าตัวเองทำไว้เยอะหลายอันเหมือนกันนะเนี่ยสมัยยังเล่น Exteen เราก็เคยทำไปลงอยู่สองอันค่ะ ช่วงนั้นยังฝึกแรกๆอยู่เลย เรายังใช้สีพวก Pentel , Sakura อยู่ช่วงที่เปลี่ยนมาเริ่มใช้ Winsor,Van gogh รู้สึก
10/11/2017
  เคยมีคำกล่าวที่ว่า “เมื่อคนเราคบเพื่อนแบบไหน นิสัยของเราก็จะเป็นแบบนั้นหรือไม่ก็ใกล้เคียงถึงได้คบเพื่อนที่มีนิสัยแบบเดียวกันได้และใช้ชีวิตร่วมกันได้ยืนยาว นั้นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่สามารถทำให้เราทายนิสัยคนรอบข้างที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้ใ
30/10/2017
  "วันนี้ลองมาดูกันดีกว่าว่าตัวละครในอนิเมะตัวไหนที่หมู่เลือดเดียวกันกับคุณ!!"             ว่าด้วยเรื่องคำทำนายคนเรามักจะนึกถึงเรื่องดวงชะตา วันเกิดปีเกิด ราศี ลายมือ เปิดไพ่ แต่ก็ยังมีบางความเชื่อที่ใช้กรุ๊ปเล
03/01/2018
แอดเคยพรีเซนต์หนุ่มสวยไปแล้วในบล็อกนี้ สาวๆเหล่านี้เป็นผู้ชาย?!!!มีหรอที่แอดจะข้ามสาวหล่อไป ติดแทรปมาเยอะ เจ็บมาเยอะ... แต่มันยังไม่พอค่ะ โลกการ์ตูนมหาสนุกมีเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจเยอะแยะมากมาก เราต้องมาติด Reverse Trap หรือแทรปสาวหล่อที่เหมือนผู้ชาย จนรู
ส่ง
ความคิดเห็น ()