Cold Heart
[How is the cold being?]
First part
กี๊ดๆ....แกร๊กๆ...กริ๊ก...ฮึ่ม!
เสียงโลหะสัมผัสโลหะพร้อมเสียงถอนหายใจของผู้ลงมือ ดังแผ่วเบาท่ามกลางสุสานขยะบริเวณนอกเมืองโครวเวนคลาวด์ พื้นที่รอบๆล้วนเต็มไปด้วยขยะหลากหลายชนิด ทั้งที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงของเล่นเล็กๆ หรือเศษบรรจุภัณฑ์กระป๋องเปล่าต่างๆ ขยะเหล่านั้นกองสุมกันเป็นภูเขาสูงตระหง่านจำนวนมากเรียงรายสุดลูกหูลูกตา
เด็กหนุ่มผู้นี้กำลังใช้ไขควงเรียวเล็กปรับจูนสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขา ซึ่งตั้งอยู่บนกองขยะขนาดเล็กที่ประกอบขึ้นจากเสื้อผ้าเก่าและเฟอร์นิเจอร์บุหนังพังๆจำนวนหนึ่ง ลักษณะเหมือนกับจงใจทำเป็นแท่นเอาไว้
“เอาล่ะ!...เสร็จแล้ว ไหนลองพูดดูหน่อยสิ โอรี่!” เขาพูดกับสิ่งที่เขาปรับจูนอย่างอ่อนโยน รูปร่างของสิ่งนั้นดูบอบบาง และนุ่มนวลเหมือนจริงเป็นอย่างมาก หากว่าทุกชิ้นส่วนล้วนสมบูรณ์ คงแยกไม่ออกว่าสิ่งนี้คือ “เลิฟดอล”ตุ๊กตากลที่ใช้สำหรับเป็นคู่รักของมนุษย์
ร่างของโอรี่นั้นงดงามราวกับรูปปั้นของเทพธิดา ทว่าแขนและขาของเธอกลับขาดหายไป บริเวณที่รอยต่อที่ขาดหาย สามารถมองเห็นได้ถึงชิ้นส่วนที่เป็นเครื่องจักร ช่องท้องของเธอเปิดอยู่ซีกหนึ่งมองเห็นถึงชิ้นส่วนสำคัญต่างๆภายใน ซึ่งเด็กหนุ่มเพิ่งจะเลิกยุ่มย่ามไปเมื่อสักครู่ เขากำลังจับจ้องด้วยความคาดหวังอันเปี่ยมล้น ขณะที่ตุ๊กตากลแสนสวยพยายามขยับปากเพื่อจะพูดคุยกับเขา แต่ทว่า
…
“…”
“….” “….”
“…”
…
...ไม่ว่าหุ่นสาวจะพยามอ้าปากเปร่งเสียงสักเท่าไร ก็มีเพียงความเงียบงันที่ส่งผ่านออกมา เธอจึงขยับศรีษะส่ายไปมาช้าๆเพื่อให้เขารู้
เฮ่อ.......... . . . .
เด็กหนุ่มแหงนหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับเอนตัวลงเท้าแขนไปด้านหลังด้วยความผิดหวัง ที่ไม่สามารถทำให้หุ่นสาวกลับมาออกเสียงได้ แต่เมื่อเด็กหนุ่มก้มหน้ามาสบตาเธออีกครั้ง เขาก็รีบยิ้มออกมา เพราะสีหน้าที่เธอแสดงออก
“ฮะฮะฮะ ..! ไม่เอาน่าโอรี่ ชั้นยังไหวนะ! คราวนี้แหละจะต้องซ่อมเธอให้ได้เล้ย!”
เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเขาทั้งสดใสและบริสุทธิ์ ใช่มันเป็นเช่นนั้นเสมอ ไม่แตกต่างจากครั้งแรกที่เธอได้พบเขาแม้แต่น้อย เมื่อนึกเช่นนั้น หุ่นสาวสวยก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้
ครั้งแรกอย่างนั้นหรือ...
ครั้งแรกที่ฉันได้พบกับเขา...คงต้องย้อนเวลาไปสักครึ่งเดือนเศษ...มันเป็นวันที่อากาศเริ่มเย็นขึ้นมาบ้าง เพราะฤดูหนาวได้เข้ามาเยี่ยมเยือนเมืองเล็กๆแห่งนี้เหมือนเช่นทุกๆปี
ตัวฉันเองอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรก มันเนิ่นนานเสียเหลือเกิน จนฉันเองก็ไม่ได้ใส่ใจเสียแล้วว่ามันผ่านไปกี่สิบปี สิ่งที่ฉันจำได้อย่างชัดเจน มีเพียงวันที่ผู้สร้างได้พาฉันมาถึงที่แห่งนี้…
…………
......
…“เธอไม่ต้องกลัวไปหรอก...แค่กๆ...ชั้นจะไม่ให้ใคร...ได้เธอไปครอบครองแน่…แค่กๆ” ผู้สร้างของฉันพร่ำพูดเช่นนั้นตลอด ตั้งแต่ฉันเริ่มจำความได้ ตัวเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจมีแต่คนเคารพแม้แต่องค์กษัตริย์ที่เป็นคนสั่งให้เขาสร้างฉันขึ้นมา แต่อัจฉริยะอย่างเขากลับมีโรคร้ายเกาะกินชีวิตอยู่ วันหนึ่งเขาบอกกับฉัย ว่าเขากลัวว่าฉันจะถูกองค์กษัตริย์แย่งไป นั่นเพราะเขาต้องสร้างฉันเพื่อไปเป็นคนรักของกษัตริย์ ซึ่งเขาหลงรักฉันและไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น
ผู้สร้างยังบอกอีกว่า ฉันคือต้นแบบของหุ่นสมองกล ที่จะถูกนำไปใช้ในการควบคุมกองหารจักรกล เขาจึงได้แสร้งทำให้ฉันยังพูดไม่ได้ เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าสมองกลของฉันสำเร็จแล้ว
สมองกลที่เขาพูดถึง คือสมองที่ไม่แตกต่างจากสมองของมนุษย์จริงๆ แต่ฉันกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย เพราะผู้สร้างไม่ยอมติดตั้งระบบรับความรู้สึกสัมผัสทางกายภาพให้กับฉัน ด้วยกลัวว่าฉันจะแสดงอาการตอบสนองแปลกๆออกมา ซึ่งนั่นทำให้สุดท้ายแล้วฉันก็รู้จักสิ่งต่างๆจากฐานข้อมูล ไม่แตกต่างจากเลิฟดอลตัวอื่นๆ และอาจจะแย่กว่าเสียด้วยซ้ำเพราะฉันรู้จักทุกสิ่งจากเพียงข้อมูลไม่เคยได้รับรู้ถึงมันอย่างแท้จริง
แม้กระทั่งตอนที่เขาหอบหิ้วฉันหนีออกมา ฉันก็ไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นหรือสิ่งอื่นใด เขาเห็นฉันเป็นแค่สิ่งของ อยากจะทำอะไรก็ทำและกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเขาเอง จนในที่สุดเมื่อเขาพาฉันมาถึงที่นี่เขาก็ตายจากฉันไปด้วยโรคร้ายที่เกาะกินเขาอยู่ ฉันเองแม้เห็นเขาตายไปต่อหน้ากลับไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร และตอนนี้มันก็แค่การเปลี่ยนที่อยู่จากห้องทดลองมาเป็นสุสานขยะแห่งนี้เท่านั้น
ที่สุสานขยะในเมืองเล็กๆเช่นนี้ น้อยนักที่จะมีผู้คนผ่านเข้ามา มนุษย์ที่มาพบฉันเข้าส่วนใหญ่ก็ไม่แตกต่างกัน ล้วนแต่ใช้สอยฉันตามหน้าที่ของเลิฟดอล คือบำบัดความใคร่ให้พวกเขาอย่างตะกละตะกราม แต่ตัวฉันเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรนัก ด้วยระบบรับรู้การสัมผัสทางกายภาพของฉัน ไม่ได้ทำงานอยู่แล้ว ทุกๆอย่างจึงผ่านพ้นไป โดยไม่แตกต่างจากช่วงเวลาที่ฉันอยู่เฉยๆเพียงลำพังสักเท่าไหร่
วันคืนค่อยๆผ่านพ้นไปอย่างไร้ความหมาย ปริมาณของกองขยะก็มากขึ้นเรื่อยๆ และกินอาณาบริเวณกว้างกว่าเดิมหลายเท่า จากหลายเดือนจนกลายเป็นหลายปี ที่จะมีมนุษย์ผ่านมาซักผู้หนึ่ง จนสุดท้ายก็ไม่มีใครผ่านมาให้เห็นอีกเลย ฉันเองก็ไม่ได้สนใจนักเพราะตัวฉันนั้นว่างเปล่ามาตั้งแต่ต้น มีเพียงแต่ข้อมูลปลอมๆกับร่างกายปลอมๆที่ไม่สมประกอบ...เป็นเพียงขยะชิ้นหนึ่งในสุสานขยะแห่งนี้.... จนกระทั่ง.....
……………………………………………………………….….
………………………………
…………
“เฮ้ย!!! โฮล!”
“จะไม่ไปกับพวกฉันจริงๆเหรอ!? ขาดนายไปงานจะกร่อยเอานา” เสียงเจื้อยแจ้วจากบทสนทนาของเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่ชอบโหวกเหวกโวยวายดังก้อง จนผู้คนที่เดินอยู่รอบๆต้องหันมามองกลุ่มเด็กหนุ่มทั้งสาม
“ชู่...! เบาๆหน่อยสิเลวินส์ คนมองกันใหญ่แล้วเห็นมั้ย” หนุ่มน้อยคนกลางเป่าปากเตือนเพื่อนซี้จอมทะเล้นของเขาให้ลดเสียงลงหน่อย เพราะพวกเขาทั้งสามกำลังเดินอยู่บนถนนสายหลักจากโรงเรียนการทหารแห่งโครวเวนคลาวด์ (Cloven Cloud Priority)
เนื่องจากบริเวณนี้เป็นย่านธุรกิจด้วยปริมาณของนักศึกษา ทำให้พื้นที่รอบๆประกอบไปด้วยอาคารหรูและร้านรวงมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงมีสภาพเหมือนเมื่อสมัยยุคลาสสิค อาคารหลายๆหลังยังคงทำจากไม้และอิฐเผาเป็นองค์ประกอบหลัก มีการตกแต่งที่เห็นได้ถึงฝีมืออันปราณีตของเหล่าช่างผู้มีฝีไม้ลายมือ
ทั้งสามหนุ่มใช้เส้นทางสายนี้อยู่เป็นประจำ เด็กหนุ่มกลุ่มนี้มีอายุประมาณ 15-16 ปี พวกเขาเป็นนักเรียนคลาสหนึ่งของที่นี่จึงสวมใส่ยูนิฟอร์มคล้ายทหารระดับนายร้อย ซึ่งประกอบด้วยเสื้อเครื่องแบบคอปกสีขาวและกางเกงขายาวสีกรมท่า มีผ้าคลุมสั้นสีกรมท่าประดับที่บ่าและปักลายกางเขนตามปกเสื้อและแขนพับด้วยสีทอง ในชุดเครื่องแบบนี้เสริมส่งความเข้มแข็งและสง่าให้พวกเขาเป็นอันมาก
เด็กหนุ่มคนซ้ายในกลุ่มชื่อ โลคค์ เขาค่อนข้างจะดูเงียบขรึมไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้าง พร้อมผมสีดำคลับหยักศกเล็กน้อยยาวประบ่าและดูเหมือนไม่เคยถูกหวีมาก่อน ในมือถือหนังสือการ์ตูนซึ่งเขามักจะอ่านมันอยู่เสมอเมื่อมีโอกาส ส่วนคนขวาคือ เลวินส์ เด็กหนุ่มท่าทางทะเล้นและเจ้าชู้ ตัวเขาสูงเพรียวและดูสมาร์ท พร้อมท่าทางหลุกหลิกกะล่อนตึงตัง ผมยาวรวบมัดไว้อย่างเรียบร้อย กับแว่นสายตาทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก ซึ่งช่วยเสริมส่งบุคลิคความมั่นใจในตัวเองของเขา
ส่วนเด็กหนุ่มคนกลางมีบุคลิคที่แตกต่างออกไป เขาดูพิเศษและมีสเน่ห์อย่างประหลาด อาจเพราะบนใบหน้าของเขามักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ เป็นยิ้มที่จริงใจและทำให้ผู้คนที่พบเจอรู้สึกผ่อนคลาย ใบหน้ากลมรีกับคางบางเฉียบทำให้ดูลักษณะคล้ายผู้หญิงไปบ้าง แต่ดวงตาที่เบิกกว้างและแน่วแน่ช่วยกลบความรู้สึกนั้นไปเสีย คิ้วของเขาสั้นมากเรียกได้ว่ามีเพียงแค่บริเวณหัวคิ้วเท่านั้น เป็นลักษณะเด่นของผู้ชายในตระกูลโฮล ใช่แล้วเด็กหนุ่มที่มีผมสีทองชี้ออกเหมือนประกายแสงผู้นี้คือ บาสตีล โฮล นายน้อยของตระกูลโฮล 1 ใน 5 ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโครวเวนคลาวด์แห่งนี้
“นี่เธองั้นนั่นก็นายน้อยโฮลน่ะสิ” … “เห...คนที่เขาว่ากันว่า เป็นนายน้อยอัจฉริยะ ของตระกูลโฮลน่ะเหรอ ว้าว!!” “แหมชั้นอยากได้เค้าเป็นแฟนจังเลยอ้ะ!” เสียงซุบซิบของกลุ่มสาวๆที่เดินอยู่ไม่ไกลนัก ดังแว่วมาให้ทั้งสามได้ยินเป็นละลอก เลวินส์เลยเอาศอกสะกิดเพื่อนผู้โด่งดังของเขาเป็นเชิงหยอกล้อ ส่วนโฮลเองก็ได้แต่หัวเราะแหะๆเท่านั้น จนกระทั่งเสียงซุบซิบเสียงหนึ่งทำให้เขาหยุดหัวเราะโดยไม่รู้ตัว
“แต่ว่านะ ได้ข่าวว่าแม่ของเขา ตายเพราะเขาไม่ใช่เหรอ” คำพูดนั่นทำให้สีหน้าของโฮลเปลี่ยนไปจากปกติอย่างสิ้นเชิง
“อ๋อ...ชั้นก็ได้ยินมาเหมือนกันนะ ว่าท่านนายใหญ่โฮลเอาเลิฟดอลมาแทนตัวนายหญิงคนเก่า”
“ใช่ๆ....ก็ไม่รู้ว่าคนระดับนั้นคิดอะไรอยู่นะ จะว่าเพราะทนความเหงาไม่ไหวแต่นายหญิงเองก็ตายไปกว่า 10 ปีแล้วแท้ๆ” กลุ่มหญิงสาวออกปากนินทากันอย่างออกรสจนลืมคิดไปว่า คำพูดทุกๆคำนั้นไม่ได้รอดพ้นจากโสตรประสาทของเด็กหนุ่มแม้แต่น้อย
“อย่าไปฟังเลยนะโฮล คนอื่นจะไปรู้อะไรล่ะ จริงมั้ย” เลวินส์พยามพูดปลอบใจเขาเพราะตอนนี้สีหน้าของโฮลซีดมากคล้ายกับคนที่กำลังจะเป็นลม เมื่อเอามือแตะที่ใหล่ก็ต้องยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่เพราะตัวของเขากำลังสั่นเทิ้มอย่างน่าสงสาร
“แม่ครับ…” เสียงของโฮลเล็ดลอดออกมาเพียงแผ่วเบา แต่เพื่อนของเขาทั้งสองคนก็ได้ยินอย่างชัดเจนพวกเขาได้แต่มองหน้ากัน ว่าจะช่วยอย่างไรดี
แต่แล้วเด็กหนุ่มทั้งสองก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อโฮลที่ยืนตัวสั่นและเพ้ออยู่สักครู่ หุนหันวิ่งออกไปด้วยความเร็วอันน่าตระหนก!
“โฮล!!! ...เฮ้ย!!!” เลวินส์ ตะโกนไล่หลังเขาและเตรียมตัวจะออกวิ่ง ทว่าร่างของเขากลับถูกดึงรั้งให้ถอยหลังกลับ
“ปล่อยเขาไปเถอะ...” โลคค์ที่แทบไม่พูดอะไรเลยกลับเอ่ยปากพูดออกมา ซึ่งเลวินส์เองก็เริ่มจะเห็นด้วยกับท่าทีที่จริงจังของเขา ทั้งสองจึงได้แต่ยืนมองโฮลวิ่งจากไปด้วยความห่วงใย
.....
...แฮ่กๆ..
แฮ่กๆ...แฮ่กๆ..
เสียงหอบหายใจของเด็กหนุ่มเริ่มถี่ขึ้นๆ ตามระยะทาง และความเหนื่อยล้าที่เพิ่มมากขึ้น ตลอดทางที่วิ่งในหัวของเขาได้ฉายภาพเรื่องราวซ้ำไปซ้ำมา ภาพนั้นคือภาพของหญิงสาวแสนงดงามสวมชุดราตรีสีขาวสะอาด กำลังกอดร่างของเขาไว้ด้วยความรัก แต่แล้วภาพนั้นก็พลันเปลี่ยนแปลงไป…!!
ปัง!! เสียงกระสุนแห่งโศกนาฏกรรม ดังกึกก้องในห้วงความคิด มันชัดเจนยิ่งกว่าได้ยินทางโสตประสาทเสียอีก ชุดราตรีสีขาวบริสุทธิ์ค่อยๆถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน หญิงสาวผู้นั้นยิ่งกอดรัดเขาแน่นขึ้นอีกพร้อมกระซิบบอกคำพูดสุดท้ายที่ข้างหูของเขาว่า
โฮล… ลูกอย่าโทษตัวเองเลยนะ… นัยตาของเด็กหนุ่มเบิกโพลงพร้อมกับหัวใจที่แตกสลาย แม้ในวาระสุดท้ายหล่อนก็ยังคงห่วงใยและกอดเขาอย่างอ่อนโยน ....แล้วภาพทั้งหมดในหัวของเขาก็เหลือเพียงแต่สีขาว
……………………………………………………………….….
………………………………
…………
จนเมื่อเขาได้สติกลับมา เด็กหนุ่มก็พบว่า สองขาของเขาได้นำพาเขามายังสถานที่แห่งนี้อีกแล้ว สถานที่ที่ทำให้เขารู้สึกสงบที่สุดหลังจากเหตุการณ์นั้น ทิวทัศน์ข้างหน้าของเขา เต็มไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มันเป็นเหล่าภูเขาที่ประกอบด้วยของ ที่เสียหายไปแล้วครั้งหนึ่ง เหมือนกับหัวใจของเขาเอง....
“.....อา.........สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องกลับมาที่นี่อีกจนได้…” โฮลรำพึงกับตัวเองก่อนจะเริ่มเดินลัดเลาะเข้าไปท่ามกลางกองภูเขาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกระจกที่แตกร้าว โต๊ะทำงานตัวเก่าที่ส่วนขาแตกหัก หรือว่าซากรถยนต์ที่มีร่องรอยการชนอย่างยับเยิน พวกเขาต่างมีเรื่องราวและบาดแผลของตน สำหรับเด็กหนุ่มแล้วมันเหมือนกับได้เดินไปท่ามกลางเหล่าผองเพื่อนที่เข้าใจความรู้สึกของกันและกัน
แต่ละครั้งที่โฮลมาเยือนสุสานแห่งนี้ ระยะทางที่เขาเดินลัดเลาะก็เริ่มลึกเข้าไปเรื่อยๆ นั่นอาจแสดงให้เห็น ว่าบาดแผลของเขายิ่งหนักหนามากขึ้นทุกครั้ง แต่มันจะสำคัญอะไรเล่า ในเมื่อเขาไม่เคยคิดอยากจะลืมมันแม้สักครึ่ง ขณะที่เขากำลังเพลิดเพลิน กับการสังเกตุบาดแผลของเหล่าผองเพื่อนอยู่นั้น เด็กหนุ่มก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่คล้ายเป็นหญิงสาว นั่งอยู่บนเนินขยะกองเล็กๆ ท่ามกลางกองภูเขาใหญ่ที่รายล้อมอยู่
ตอนแรกโฮลนึกว่าเขาตาฝาด เพราะอาณาเขตบริเวณนี้ อยู่ลึกเกินกว่าที่จะมีหญิงสาวมาเที่ยวเล่น อีกทั้งทิวทัศน์ที่เห็นก็ไม่ได้น่าพิศมัยซักเท่าไหร่ ทว่าหญิงสาวก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น หาได้จางหายไปอย่างที่เขานึกคิด
อย่าไปยุ่งกับเธอดีกว่า โฮลบอกกับตัวเอง เพราะเขามาที่นี่เพื่อหลีกหนีผู้คนอันแสนวุ่นวาย บางทีเธออาจจะมีอะไรต้องคิดเหมือนกับเขาก็เป็นได้ ทว่าเมื่อเด็กหนุ่มคิดเช่นนั้นมันกลับทำให้เขาทวีความสนใจต่อหญิงสาวมากกว่าเดิม
เหมือนกันอย่างนั้นหรือ…? เป็นคนที่มีเรื่องให้เจ็บปวดเหมือนกับเรา... ไม่ทันที่โฮลจะรู้ตัวเขาก็เดินมาอยู่ข้างหลังเธอเสียแล้ว กองเฟอร์นิเจอร์พังๆที่เธอนั่งอยู่นั้น บังร่างของเธอไว้ตั้งแต่ใต้ช่วงใหล่ลงมา ให้ห็นเพียงเส้นผมสีขาวอมฟ้าอ่อนงดงามยาวลึกลงไปตามแผ่นหลัง แต่มันดูสกปรกเพราะฝุ่นผงที่สังเกตเห็นได้ ผิวเนื้อช่วงใหล่ที่เผยอยู่ดูเรียบเนียนละเอียดเหลือเกิน หากแต่ว่ามันดูแปลกตาด้วยคราบใคลสีหม่นประปราย
หญิงสาวยังคงนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น นิ่งเสียจนน่าแปลกใจ เพราะเขาเองไม่ได้แอบย่องมาใกล้เธอแต่อย่างใด ไม่ว่าเสียงฝีเท้าหรือนกที่บินผ่านไป ก็ไม่ทำให้เธอเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
เด็กหนุ่มเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่า หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หรือแม้แต่เธอป็นมนุษย์หรือเปล่า? โฮลค่อยขยับเดินอ้อมไปข้างหน้าแต่เมื่อมองเห็นร่างนั้นได้ชัดเขาก็ต้องตกตะลึง
แม่!!
เขาเผลออุทานออกมา ด้วยใบหน้าของหญิงสาวช่างละไม้คล้ายคลึงกับมารดาของเขายิ่งนัก เสียงอุทานดังจนทำให้ฝูงนกที่เกาะอยู่ตามภูเขาขยะ กระเจิดกระจิงบินหนีกันจ้าล่ะหวั่น
ร่างของโฮลยังคงมีอาการสั่นเพราะความสั่นไหวของจิตใจ เมื่อเขารวบรวมสติได้ดีขึ้นจึงสังเกตเห็น ว่าสาวงามตรงหน้าเขา คือเลิฟดอลเก่าๆพังๆ ที่ไม่มีทั้งแขนและขา ซึ่งมันไม่เหมือนกับถูกฉีกขาดไป แต่คล้ายกับยังไม่ได้นำมาประกอบเสียมากกว่า สภาพของเธอดูน่าสงสารไม่น้อย ตามเนื้อตัวมีร่องรอยคราบใคล ที่เกิดจากฝุ่นดินและน้ำเหนียวเปื้อนติดเป็นแห่งๆ
ร่างกายช่วงบนเปล่าเปลือยเผยให้เห็นช่วงท้องซีกซ้ายที่มีช่องเปิดบริเวณใต้แนวซี่โครงไล่ลงมาจนเกือบถึงเอว เมื่อมองเข้าไปภายในก็พบกับชิ้นส่วนเครื่องจักรหลากหลาย ที่ยังคงดูล้ำสมัยเมื่อเทียบกับสิ่งของต่างๆรอบๆตัวเธอ ร่างกายช่วงล่างแม้ไม่ได้เปล่าเปลือย แต่ก็มีเพียงกางเกงในเก่าๆสีขาว ที่เสื่อมสภาพไปหมดแล้ว เนื้อผ้าเปื่อยยุ่ยและเป็นคราบหม่นหมองเหมือนกับบนร่างของเธอ
แต่หากตัดเรื่องรูปลักษณ์ในด้านไม่ดีออกไป รูปร่างของเธอนั้นสมส่วนงดงามดุจดั่งดรุณีที่เจริญเติบโตเต็มวัย มีเสน่ห์เย้ายวนสมฐานะของตุ๊กตากล ที่สร้างมาเพื่อแทนคู่รักของมนุษย์ ผิวกายยังคงละเอียดอ่อนไม่แปลเปลี่ยนตามกาลเวลา ยิ่งเมื่อโฮลมองไปที่ใบหน้างดงามนั่น เขาเองก็อดที่จะใจสั่นไหวไม่ได้ หาใช่เพียงเพราะหน้าตาที่คล้ายคลึงกับมารดาของตน
แต่เป็นเพราะโคลงหน้าที่เรียวงามประกอบกับคิ้วบางได้รูป อีกทั้งดวงตากลมโตพร้อมนัยตาสีแดงทับทิมแสนสดใส มันพิเศษยิ่งกว่าผู้หญิงจริงๆที่เขาเคยเห็นมา ทั้งจมูกและปากเล็กๆจิ้มลิ้ม นี่คงเป็นเหตุผลที่ใครหลายๆคนเลือกที่จะให้เลิฟดอลเป็นคู่รักมากกว่าจะครองคู่กับมนุษย์ด้วยกัน
เด็กหนุ่มยื่นมือขวาออกไปแตะแก้มซ้ายของเธออย่างแผ่วเบา มันผสมปนเปกัน ทั้งความรู้สึกชื่นชมและความรู้สึกโหยหาต่อเค้าหน้าในความทรงจำ
“สภาพดีขนาดนี้เลยหรือนี่” เด็กหนุ่มอุทานออกมาเมื่อฝ่ามือของเขาสัมผัสลงบนแก้มเนียนนุ่มของเธอ “ยังรู้สึกเหมือนของจริงอยู่เลย” เขาพูดพลางเริ่มใช้มือเช็ดเอาฝุ่นและรอยเปื้อน ออกจากผิวหน้าอย่างแผ่วเบา เผยให้เห็นผิวหน้าเนียนสะอาด มีเลือดฝาดสีอมชมพูระเรื่อจนสังเกตเห็นได้
!!
ทั้งสองฝ่ายอุทานขึ้นในใจ ฝ่ายเด็กหนุ่มนั้นรู้สึกแปลกใจที่ของที่พังแล้วอย่างนี้ ระบบเม็ดสีผิวยังคงทำงานค้างอยู่อย่างนั้นหรือ ส่วนเลิฟดอลผู้โดดเดี่ยวมาแสนนาน รู้สึกแปลกใจกับอากัปกริยาอันอ่อนโยนของเขา
“ถ้างั้น!!” คราวนี้โฮลอุทานออกมาด้วยความประหม่า พร้อมเหลือบมองไปยังบริเวณหน้าอกของเธอ สีหน้าของเขาแสดงออกชัดเจนถึงความกระหายใคร่รู้ และความขวยเขินที่คิดเรื่องลามกแม้กับหุ่นยนต์ที่พังแล้วเช่นนี้
เฮ้อ........ หุ่นสาวลอบถอนใจเฮือกใหญ่ ภายในห้วงความคิด สุดท้ายแล้วเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ไม่ได้ต่างไปจาก มนุษย์คนอื่นที่เธอพานพบ
อุ๊บบบบส์…!! อยู่ๆเธอก็หลุดออกมาจากห้วงความคิดนั้น เด็กหนุ่มใช้มืออันแข็งแรงทั้งสองข้างล็อคศรีษะของเธอไว้ เพื่อจ้องมองนัยตาของเธอ
“เมื่อกี้เธอเปลี่ยนสีหน้า!!!...เธอยังไม่พังหรอกเหรอ???” คำถามนั้นดังก้องเข้าไปถึงระบบสัมผัสเทียมของหุ่นสาว ด้วยปกติเธอมักจะนิ่งเฉยและเก็บอาการไว้อย่างมิดชิด ไม่เคยมีมนุษย์คนใดสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เล็กๆเช่นนี้มาก่อน พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนตะกละตะกลาม ที่จะใช้สอยร่างกายของเธอ เป็นเครื่องบำบัดความใคร่เพียงเท่านั้น แทบไม่มีใครเคยสังเกตเหมือนกับเขา
จากความประหลาดใจ ความกลัวก็เข้ามาแทนที่ “เขาจะทำอะไรกับเธอ” นั่นเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่ยิ่งเธอกังวลมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งจับได้
“มหัศจรรย์จิงๆ เธอยังมีชีวิตอยู่เหรอเนี่ย!!” โฮลโพล่งออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข ในขณะที่หุ่นสาวทั้งงวยงง สงสัย และสับสนไปหมด
ชีวิต...
เขาพูดว่าเรามีชีวิตอย่างนั้นหรือ...?
หุ่นสาวถามขึ้นในใจอย่างไม่เชื่อระบบรับเสียงของตนเอง
“เอ่อ... ชั้นชื่อบาสตีลนะ บาสตีล โฮล เรียกโฮลเฉยๆก็ได้ แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ” เด็กหนุ่มแนะนำตัวและสอบถามเธอด้วยอารมณ์ตื่นเต้นดีใจ
ฝ่ายหุ่นสาวกลับมีสีหน้าเศร้าลงในทันที เธอพยามอ้าปากจะพูดว่า “ชั้นไม่มีชื่อหรอก” โดยลืมนึกไปว่าวงจรเสียงของตนเองใช้การไม่ได้ ได้แต่อ้าปากพยักพเยิดเหมือนคนเป็นใบ้
“อ้าว... เธอพูดไม่ได้หรอกเหรอเนี่ย” เด็กหนุ่มหน้าเสียนิดหน่อย ด้วยรู้สึกเสียมารยาทที่ตื่นเต้นจนออกนอกหน้าทั้งที่คู่สนทนาไม่อาจพูดตอบได้ จากนั้นเขาครุ่นคิดอยู่แว่บหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ
“จริงสิ... ถ้าเรื่องเครื่องจักรอะไรพวกนี้ชั้นอาจจะพอทำอะไรได้บ้างก็ได้นะ” ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็จับเธอนอนลงบนพื้น แล้วขยับร่างขึ้นไปค่อมอยู่เหนือร่างของเธอ ใบหน้าของทั้งสองพลันแดงก่ำ เพราะท่าทางแบบนี้มันทำให้คิดถึงเรื่องลามกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
….
“หะ หะ หะ....มันรู้สึกแปลกๆเนอะ” โฮลชิงหัวเราะขึ้นมาก่อน เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ส่วนหุ่นสาวก็เบือนหน้าหนี ด้วยความรู้สึกเขินอาย ซึ่งเธอไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน
เมื่อบรรยากาศเริ่มปกติ โฮลก็เริ่มสำรวจในช่องท้องของเธอ มันเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เขาตกใจเป็นอันมาก เพราะหนุ่มน้อยอัจฉริยะในสาขาวิศวะการทหารอย่างเขา แทบจะไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น คิ้วน้อยๆที่ขมวดปมไม่ได้ของเขา เริ่มย่นเข้าไกล้กันด้วยความฉงนอย่างที่สุด
อะไรกันเนี่ย...? เขาอุทานขึ้นมาในใจ เมื่อเห็นรอยสลักอักษรบางอย่างบนชิ้นส่วนกลมๆที่เหมือนจะเป็นแกนกลางของหุ่นสาว
“O.R.Y. 02-09-1509…?” เขาลองอ่านมันออกมาให้เธอได้ยิน แต่ก็ไม่มีปฏิกริยาอะไร เธอยังคงเบือนหน้านิ่งอยู่เช่นเดิม ดูเหมือนว่าแม้แต่หุ่นสาวเอง ก็เพิ่งเคยได้ยินชุดอักษรและตัวเลขเหล่านี้เป็นครั้งแรก
“นี่เธอเป็นของรุ่นเก่าขนาดนี้เลยเหรอ!! ถ้างั้นอายุก็ประมาณ 30 กว่าปี ถ้าเป็นคนก็เป็นป้า ได้แล้วมั้งเนี่ย ฮะฮะฮะๆ”
เด็กหนุ่มพยามพูดออกมาด้วยเสียงอันดังและหัวเราะให้ดูสนุกสนาน แต่เมื่อเหลือบไปเห็นหุ่นสาวทำหน้าเหมือนฆาตรกรโหดก็ถึงกับขำไม่ออก
“นี่ถ้ายิงแสงจากตาได้ หัวเราคงเป็นรูไปแล้ว...” เด็กหนุ่มได้แต่คิดในใจ พร้อมกับยิ้มแหยๆแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น ซึ่งพอดีกับที่เหลือบไปเห็นพระอาทิตย์ดวงโตกำลังจะลับขอบฟ้า เขาถึงได้รู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยไปมากแล้ว สิ่งของรอบๆตัวก็ล้วนถูกย้อมด้วยสีส้มอ่อนๆจากแสงของพระอาทิตย์ยามเย็น
“หวา~! เย็นขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย!! ถ้างั้นโอรี่ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ ชั้นจะหาทางซ่อมเธอให้ได้เล้ย!”
“โอรี่?” หุ่นสาวเริ่มทำหน้างงอีกครั้ง
“ชื่อของเธอไง ตอนนี้เธอยังบอกชื่อชั้นไม่ได้ งั้นใช้ชื่อนี้ไปก่อนละกันนะ” เขาพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มแสนบริสุทธิ์ เด็กหนุ่มผู้นี้สร้างแต่เรื่องประหลาดใจ ไม่ให้เธอได้หายใจหายคอเลย คิดแล้วหุ่นสาวเองก็ขำในใจ เพราะตอนนี้ระบบหายใจไม่ได้ทำงานสักหน่อย ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็จัดแจงนำเธอกลับไปนั่งบนกองเฟอร์นิเจอร์และเสื้อผ้าเช่นเดิม ก่อนจะวิ่งหายลับไปพร้อมกับแสงของพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
“โอรี่... อย่างงั้นเหรอ” เธอรำพึงกับตัวเอง พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก...
……………………………………………………………….….
………………………………
…………
หลังจากวันนั้น โฮลก็มาหาฉันทุกวันๆพร้อมกับวิธีการซ่อมใหม่ๆ ที่เขาศึกษามาจากห้องสมุด แม้ว่าจะล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ไม่เคยย่อท้อ แต่สำหรับฉันแล้ว แค่เขามาหาฉันทุกวันมันก็เพียงพอ นี่ฉันกำลังคิดอะไรที่เกินความเหมาะสมของเลิฟดอลพังๆอยู่รึเปล่านะ….
ตอนนี้โฮลกำลังนั่งกอดเข่าเหม่อมองไปยังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเหมือนเช่นวันนั้น แล้วจู่ๆเขาก็ถามคำถามแปลกๆออกมา “นี่โอรี่ รู้รึเปล่าว่าทำไมฉันถึง พยามซ่อมเธอขนาดนี้” มันเป็นคำถามที่ทำให้หัวใจของฉันสั่นไหว ฉันส่ายหน้าช้าๆพร้อมกับแอบเฝ้ารอคำพูดต่อไปของเขาอย่างใจจดใจจ่อ
“เดิมเป็นเพราะว่าหน้าของโอรี่ เหมือนกับแม่ของฉันมากๆเลยล่ะ....แม่ที่ปกป้องฉันจนเสียไปตอนเด็กๆ…” น้ำเสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อย คำพูดนั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันคาดหวังเอาไว้แต่แรก และตั้งแต่เริ่มเอ่ยถามโฮลก็ไม่หันมามองหน้าฉันเลย เขายังคงเหม่อมองไปยังท้องฟ้าเหมือนกับมองหาอะไรซักอย่าง ฉันเองไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าเช่นไร แม้ว่าฉันจะรู้ว่าความตายของบุคคลอันเป็นที่รัก ทำให้มนุษย์โศกเศร้ามากจากฐานข้อมูลจำลอง แต่ฉันก็ไม่เคยได้สัมผัสมันจริงๆ แม้แต่ตอนที่ผู้สร้างตายจากไป ฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อฉันเห็นความเจ็บปวดบนใบหน้าของโฮล ฉันเองกลับรู้สึกเจ็บปวดไปกับเขาด้วย ไม่ทันที่ฉันจะคิดอะไรต่อ อยู่ๆเขาก็ลุกขึ้น
“ขอโทษนะโอรี่ วันนี้ฉันกลับก่อนนะ” วันนี้เขาไม่ได้ยิ้มลาฉันเหมือนเช่นทุกวัน และเดินจากไปช้าๆต่างกับโฮลที่มักจะสดใสร่างเริงออกวิ่งไปอย่างมั่นใจ ฉันเองแม้คาดหวังว่าจะทราบความมากกว่านั้น แต่ก็คงจะทำอะไรไม่ได้ เพราะแม้แต่จะออกเสียงพูดปลอบโยนเขา ฉันก็ยังทำไม่ได้ ขณะที่ฉันกำลังตัดพ้อตัวเองอยู่ลำพัง เสียงๆหนึ่งก็เรียกให้ฉันรู้สึกตัว
“หมอนั่นแปลกๆไปนะ” เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 20 เศษๆ เขามีรูปร่างสูงโปร่งแต่ดูมีกล้ามเนื้อตามความเหมาะสม สวมชุดคลุมสีดำยาวจนคลุมหัวเข่าทับบนชุดรัดรูปสีดำสลับขาวตามสนับแขนและขา บนเสื้อคลุมมีสัญลักษณ์กางเขนกลับหัวพาดลงมาตามแนวตั้ง เขาดูไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ใบหน้าของเขาเป็นสีขาวซีด และมีแววตาที่เย็นชาราวกับน้ำแข็ง ผมสีดำคลับด้านบนถูกหวีเสยชี้ไปข้างหลังตามความยาวของมัน ส่วนที่ไม่ได้หวีถูกมัดรวมกันไว้อย่างเรียบร้อยห้อยยาวไปถึงกลางหลัง ด้านหน้ามีจงอยผมที่จงใจปล่อยลงมากลุ่มหนึ่งกระดกชี้ออกมาเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวตามแรงโน้มถ่วงยาวลงมาถึงช่วงคางอันคมสันของเขา ดูๆไปแล้วชายผู้นี้ก็หล่อเหลาเอาการ ทว่าเขามีบรรยากาศอันเย็นชา และให้ความรู้สึกถึงอันตราย แผ่ออกมาตลอดเวลา
ฉันพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบต่อชายหนุ่มผู้นี้ เขาเคลื่อนกายมานั่งลงข้างๆฉันโดยชันเข่าข้างหนึ่งขึ้นและยกแขนพาดไว้ เขาเองคงไม่รู้ตัว ว่าตัวเขาก็เอาแต่เหม่อมองท้องฟ้าไม่ต่างจากโฮลเช่นกัน ใช่แล้วกับชายคนนี้ฉันเองก็ไม่ได้พานพบเขาเป็นครั้งแรก เราพบกันหลังจากที่โฮลพบกันฉันในตอนเย็นวันนั้น มันเป็นวันที่พิเศษของฉันจริงๆ....
หลังจากโฮลกลับไป ฉันก็มัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย แน่นอนว่าหลักๆเป็นเรื่องของ เด็กหนุ่มแสนซื่อบริสุทธิ์ที่ฉันเพิ่งพบเจอ ห้วงเวลาผันผ่านจนท้องฟ้ามืดสนิท พร้อมกับที่จันทราเต็มดวงเริ่มอาบแสงสีเงินไปทั่วผืนแผ่นดิน ณ สุสานขยะที่ประกอบด้วยโลหะแวววับจำนวนไม่น้อยแห่งนี้ พวกมันต่างสะท้อนแสงสีเงินระยิบระยับดูละลานตาไปหมด…
ต๊อก ต๊อก ต๊อก.. เสียงราวผ้าโละหะที่ห้อยย้อยสั่นไหวกระทบกันเมื่อมีหญิงสาวนางหนึ่งเดินไปสกิดมันเข้า เธอมายืนคอยใครสักคนได้สักพักใหญ่ๆแล้ว ตอนแรกฉันก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่แต่เมื่อลองสังเกตอย่างตั้งใจ เธอเป็นหญิงสาวสวยที่ดูลึกลับอย่างน่าประหลาด รูปร่างสูงพอประมาณมีหุ่นทรงที่สวยงามเหมือนนางแบบ แม้จะมีส่วนหน้าอกที่เล็กไปสักหน่อย แต่ช่วงขาเรียวยาวทำให้เธอดูสง่ายิ่งนัก เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นชุดหนังสีดำรัดรูปเน้นส่วนโค้งเว้า และแหวะผ่าตามจุดสำคัญที่ดึงดูสายตา หากคนดูชายคงลืมมองใบหน้าของเธอเป็นแน่ แต่ใช่ว่าใบหน้าของเธอจะไม่งดงามแต่อย่างใด นอกจากรูปร่างและเครื่องแต่งกายแสนเซกซี่เย้ายวนแล้ว ใบหน้าของเธอยังสวยคมทรงเสน่ห์ และโฉบเฉี่ยวอย่างสาวเปรี้ยวทันสมัย ยิ่งพินิจดูก็ยิ่งน่าสงสัย ที่สาวสวยเซ็กซี่แต่งตัวหวือหวาขนาดนี้ มายืนอยู่ท่ามกลางกองภูเขาขยะนอกเมืองเล็กๆ บางทีเธอน่าจะอยู่ในไนท์คลับหรือคาสิโนหรูๆมากว่า
“ช้าจริงนะนายน่ะ?” เธอเอ่ยขึ้นมาอย่างแสร้งไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เหมือนพวกผู้หญิงที่ชอบเรียกร้องความสนใจ ในขณะที่ฉันไม่ทันรู้ตัวสักนิดว่ามีผู้อื่นนอกจากความมืดอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย แล้วฉันก็ได้เห็นร่างขาพร้อมๆกับเสียงที่ดังแว่วมา
“เธอมาก่อนเวลาเองไม่ใช่รึไงล่ะ?” ชายหนุ่มอีกคนที่ฉันเพิ่งได้พบในวันนี้ตอบคำถามนั่นอย่างไม่แยแส ก่อนจะโยนของบางอย่างที่อยู่ในมือขวากลิ้งหลุนๆไปยังปลายเท้าของอีกฝ่าย เมื่อมันหยุดนิ่งสนิทลงฉันก็ต้องตกใจอย่างมาก มันเป็นศรีษะไม่ใช่ของหุ่นยนต์หรือสัตว์ แต่เป็นของมนุษย์ แม้เลือดจะหยุดใหลเพราะแข็งตัวไปหมดแล้ว แต่มันก็ยังน่าสยดสยองอย่างมาก โดยเฉพาะที่ดวงตานั่นเบิกโพลงหันมาทางฉันพอดี พริบตานั้นฉันก็รู้สึกว่ามีอีกสายตากำลังจ้องมองมา มันเป็นของชายหนุ่มที่โยนศรีษะมนุษย์อย่างไม่ใยดีนั่นเอง ฉันรีบลบสีหน้าอาการของตัวเอง ให้เป็นปรกติในทันที เพราะแม้ว่าสีหน้าของเขาจะดูเย็นชาไม่ได้ก้าวร้าว แต่แบบนั้นกลับทำให้ฉันรู้สึกกลัวยิ่งกว่า นั่นคือความรู้สึกแรกจริงๆที่ฉันมีต่อชายผู้นี้
“แหม.....อย่าเครียดนักซี่....พ่อหนุ่มแสนเย็นชา...คิกๆ” หญิงสาวเริ่มเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงออดอ้อนบ้างพร้อมกระแซะร่างเข้ามาแนบชิดอิงแอบกับตัวเขา ขนาดฉันไม่ใช่สตรีที่เป็นมนุษย์จริงๆ ฟังดูแล้วยังรู้สึกหมั่นใส้ขึ้นมามาตงิดๆ ส่วนชายหนุ่มยังคงนิ่งเงียบ ปรือตามองฝ่ายตรงข้ามอย่างเหนื่อยหน่าย
“โถ่เอ๊ย...ไม่เล่นด้วยก็ได้!!” หญิงสาวตัดบทอย่างเสียอารมณ์ก่อนจะขยับร่างห่างออกมาโบกมือสบัดไม้ไปตามเรื่อง “นี่แบร์ ฉันอยากรู้จริงๆน้า ว่าที่พวกนายเย็นชาเหมือนกันหมดแบบนี้ มันเป็นเพราะการฝึกหรือเพราะแกล้งดัจริตทำกันแน่” หญิงสาวพล่ามพูดเหมือนกับการเย้ยหยันเสียมากกว่าพลางยักใหล่และยิ้มอย่างยียวน
“ถ้าเสร็จธุระแล้วฉันกลับล่ะ” คราวนี้แบร์เป็นฝ่ายตัดบทอย่างสิ้นเชิง เรื่องการกระแนะกระแหนของหล่อนไม่ได้เฉียดเข้าไปในพื้นที่จิตใจของเขาด้วยซ้ำ ที่เขาเอ่ยตัดบทขึ้นมาเพราะรำคาญเสียมากกว่า พูดจบชายหนุ่มก็หันหลังเตรียมจะจากไป
“เดี๋ยวสิแบร์!!” หญิงสาวลึกลับเอ่ยรั้งเขาเอาไว้ ก่อนที่เขาจะหายลับไปกับความมืดมิด เหมือนก่อนที่เขาจะมา แม้ชายหนุ่มจะหยุดยืนตามเสียงเรียก แต่เขาก็เพียงเหลือบไปมองเธอด้วยหางตาเท่านั้น
“อะไร?” เสียงที่เปร่งออกมาไม่ได้แตกต่างจากเดิม แต่จากกริยาโดยรวมก็ทำให้หญิงสาวขัดใจไม่น้อย
ถึงกระนั้นเธอก็ต้องอธิบายต่อเพื่อไม่ให้เสียงาน
“ยังมีเป้าหมายอื่นอีกที่เมืองนี้ เราอยากให้นายอยู่รอคำสั่งที่นี่อีกสักพัก” เป็นครั้งแรกทีเดียวที่หญิงสาวเอ่ยคำอย่างเป็นงานเป็นการ แต่ปฏิกริยาของแบร์ก็ยังคงเหมือนเดิม
“เข้าใจแล้ว...” เขาเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉยพร้อมกำลังจะก้าวต่อไป
“ชั้นเตรียมที่พักของโรงแรมหรูในเมืองไว้ให้ สนใจจะไปผ่อนคลายความเครียดหน่อยมั้ย” ดูเหมือนเธอจะยังไม่ละความพยามยามที่จะกลั่นแกล้งชายหนุ่ม เธอเว้นวรรคเล็กน้อย แล้วเอามือลูบไล้ไปตาเรือนร่างอันเต่งตึงของตน ลามไปจนถึงบริเวณใต้สะดือ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “เรื่องนั้นน่ะ ให้ชั้นช่วยก็ได้นะ” ว่าแล้วก็แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากอย่างเร่าร้อน
“ไม่ล่ะเวนนี่ คืนนี้ฉันมีนัดกับสาวคนนี้ไว้แล้ว” สิ้นประโยคของชายหนุ่ม ฉันที่แอบฟังอยู่เฉยๆกับหญิงสาวลึกลับก็สับสนขึ้นพร้อมๆกัน แบร์ก้าวเดินอย่างช้าๆก่อนจะนั่งลงข้างฉันโดยห่างออกไปเพียงไม่ถึงวา ก่อนจะพูดกับเวนนี่อีกว่า
“ฉันชอบหญิงสาวที่ถนัดรับฟังมากกว่าพล่ามพูดน่ะ” เวนนี่ได้ฟังเสียงราบเรียบของเขาก็ยังฝืนยิ้มให้ “เอาเท๊อะ ไว้เจอกันอีกทีเมื่อคำสั่งมาถึงก็แล้วกันนะจ๊ะ” เธอสะบัดสะบิ้งเล็กน้อย ก่อนจะเดินกระแทกส้นเท้าตั้กๆ ส่ายบั้นท้ายหายไป พร้อมความมืดมิดและความหงุดหงิดก้อนโต
หลังจากเวนนี่จากไป ความเงียบสงัดและความอึมครึม ก็เคลื่อนตัวเข้ามาครอบงำบรรยากาศอย่างสิ้นเชิง แม้จะมีเสียงของแมลง หรือการเคลื่อนไหวของซากสิ่งของต่างๆกระทบกันบ้าง แต่เสียงที่ฉันได้ยินอย่างชัดเจนกลับเป็นเสียงแก่นกลาง(หัวใจ)ที่สั่นไหวอย่างถี่ยิบอยู่ภายใน
นักฆ่าหนุ่มผู้แสนเยียบเย็นยังคงนั่งสงบนิ่งเหม่อมองท้องฟ้ากว้างอยู่ข้างๆฉัน มันเงียบเสียจนเสียงหายใจอันแผ่วเบาของเขาเริ่มหลอกหลอนประสาทของฉัน
“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นก็ได้………”
เสียงเย็นเฉียบของเขา ปลุกฉันขึ้นจากภวังค์อันสับสน มันอาจไม่ทำให้ความรู้สึกหวาดกลัวลดลง แต่ก็คลายความอึดอัดไปได้บ้าง มานึกๆดู ฉันก็ลืมไปซะสนิทและไม่เข้าใจว่า เขารู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังกลัว ทั้งที่เขาไม่ได้มองฉันอยู่ด้วยซ้ำ ฉันใตร่ตรองไม่ทันจะเรียบร้อยเขากลับหันควับมามอง จนฉันตั้งตัวไม่ติด แล้วจึงยกนิ้วชี้ไปที่หูของเขา
“ฉันไม่ได้ใช้แค่สายตา” คำพูดนั่นทำให้ฉันอึ้งไม่น้อย ในยามนี้แก่นกลางของฉันอาจจะทำงานผิดปกติจึงมีเสียงแต่ก็ไม่น่าจะถึงกับที่คนอื่นจะได้ยิน ยิ่งก่อนหน้านี้ยิ่งแทบเป็นไปไม่ได้
“เอาเถอะ เธอคงไม่เป็นอันตรายต่องานเพราะดูเหมือนเธอจะพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ.....”
“...ฉันเองก็จะถือว่าเราไม่เคยพบเจอกัน”
ได้ฟังเช่นนั้น แทนที่จะตื่นตกใจกับเรื่องขัดขวางงานที่เขาพูดถึง ตุ๊กตาพังๆอย่างฉันกลับรู้สึกใจหายกับคำว่า “ไม่เคยพบเจอกัน” มันตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ฉันเริ่มใส่ใจกับเรื่องแบบนี้
“เธอน่ะคงผ่านอะไรมามากสินะ” เขาเริ่มเอ่ยคำต่อไป โดยไม่ใยดีกับความตระหนกของฉัน บางทีอาจเป็นเพราะฉันยังคงนิ่งเงียบไม่สามารถตอบโต้อะไรเขาได้
“เราต่างก็ผ่านอะไรมามากแต่สุดท้ายก็ยังคงว่างเปล่าไม่แตกต่างกัน” สีหน้าเรียบเฉยของเขายังคงไม่แปลเปลี่ยน แต่ฉันก็รู้สึกได้ถึงความเศร้าที่แฝงมาในคำพูดนั้น จนเผลอพยักหน้าช้าๆตอบรับเขาไป
เหมือนเขาจะได้ใจจึงเริ่มพูดกับฉันต่อ “เธอคงกลัวสินะ กับงานของฉัน” ฉันเองไม่คุ้นเคยกับการพูดคุยกับคนอื่นนัก ก็เลยเผลอส่ายหน้าราวกับจะบอกว่าไม่เป็นไร ซึ่งฉันก็ไม่คิดว่าตัวเองจะประหม่าถึงเพียงนี้
“ซื่อจังเลยนะ ยิ่งกว่ามนุษย์จริงๆซะอีก” เหมือนฉันจะแอบเห็นรอยยิ้มบางๆของเขาชั่ววูปหนึ่ง บางทีเขาอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างภาพลักษณ์ก็ได้ ฉันเองก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเผยรอยยิ้มออกมาตอนไหน แต่เหมือนเขาจะสังเกตเห็นแล้วก็ยิ้มให้ฉัน ฉันเองก็เผลอยิ้มตอบ มันดูน่าตลกรึเปล่านะเมื่อนักฆ่าแสนเย็นชา กับตุ๊กตาแสนโดดเดี่ยว มานั่งยิ้มปลอบโยนกันเช่นนี้
คืนนั้นเขานั่งคุยเป็นเพื่อนฉันทั้งคืน เล่าทั้งเรื่องการฝึกฝนหฤโหด เพื่อนพ้องที่ตายจากไปก่อน และเรื่องของเหยื่อหลากหลาย หรือแม้แต่เรื่องที่เขาแทบเอาชีวิตไม่รอด ฉันเองได้แต่ฟังอย่างตื่นเต้น แม้จะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็พยักหน้าส่ายหน้า แสดงสีหน้าโต้ตอบกับเขาอย่างเต็มที่ มันเป็นค่ำคืนแรก ที่ฉันเข้าใจว่าการมีเพื่อนพูดคุยเป็นเช่นไร
“และเข้าใจว่าเพื่อนคือสิ่งมหัศจรรย์ขนาดไหน”
**********
Cold Heart
[How is the cold being?]
Last part
หลังจากวันนั้นในเวลาค่ำคืน เขาก็มักจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับฉันทุกวัน ตอนกลางวันฉันก็ไม่รูว่าเขาออกไปที่ไหน แต่ส่วนมากเขามักจะกลับมาก่อนที่โฮลจะมาหาฉันพอดี และแอบดูฉันกับโฮลจากบนภูเขาขยะลูกใหญ่ จนบางทีฉันก็รู้สึกว่าแบร์ไม่ได้เย็นชา และออกจะตลกอยู่สักหน่อยด้วยซ้ำไป...
……………………………………………………………….….
………………………………
…………
ท้องฟ้ายามบ่ายสว่างสดใส แสงแดดอ่อนๆส่องผ่านหน้าต่างห้องสมุดใหญ่ของโรงเรียนการทหารแห่งโครเวนคลาวด์ ทำให้เด็กหนุ่มผู้กำลังค้นคว้าอย่างขมักเขม้น รู้สึกอบอุ่นจากอากาศที่เริ่มหนาวเย็นขึ้นเล็กน้อย เขานั่งอยู่ตรงมุมห้อง ด้านที่ติดกับหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ซึ่งเป็นจุดนั่งอ่านหนังสืออันเงียบสงบ เพราะถูกบังด้วยตู้หนังสือที่พูดแค่ว่าใหญ่คงไม่พอ ตู้ทุกหลังสูงจนเกือบถึงเพดานห้อง บางหลังที่วางตามผนัง ก็สูงจนชนเพดานเลยทีเดียว บนชั้นหนังสือเต็มไปด้วยหนังสือที่หนายิ่งกว่าพจนานุกรม ว่ากันว่าไม่เคยมีใครรู้ปริมาณที่แท้จริงของหนังสือในห้องสมุดแห่งนี้รวมไปถึงที่มาของพวกมันบางส่วน เพราะที่นี่เคยเสียหายจากสงครามจนระเบียนบางส่วนสูญหายไป จึงมีหนังสือเก่าแก่ที่ถูกลืมอยู่เป็นจำนวนมาก แต่หลายๆเล่มในหนังสือเหล่านั้นก็วางสุมอยู่บนโต๊ะไม้เก่าแก่รูปทรงคลาสสิกซึ่งโฮลกำลังนั่งค้นคว้าอยู่
“ไม่น่าเชื่อเลย!!” เด็กหนุ่มอุทานขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นบันทึกบนหนังสือที่เก่าคร่ำครึในมือของเขา บนนั้นมีภาพของโอรี่และเรื่องราว ที่กล่าวถึงเหตุผลในการสร้างเธอย่างละเอียด มีกระทั่งบันทึกแบบพิมพ์เขียวและการสร้าง เขารีบหยิบรูปที่เขาถ่ายโอรี่ไว้ ออกมาเทียบอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ และเผยยิ้มออกมา
ในบันทึกนั้นพูดถึงสมองกลที่เทียบเคียงกับสมองของมนุษย์ วัสดุที่ใช้สร้างก็เป็นของระดับสูงมากเกินกว่าจะจินตนาการและทนทานอย่างยิ่ง หากเป็นคนอื่นมาอ่าน ก็คงคิดว่าบันทึกในหนังสือเล่มนี้เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน หรือนิยายของนักประพันธ์บางคนเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่มันกลับทำให้หัวใจของเด็กหนุ่ม พองโตจนถึงขีดสุด เพราะสิ่งเพ้อฝันที่ว่านั่น เขาได้สัมผัสด้วยมือ และมองเห็นด้วยตาของตัวเองมาแล้วด้วยซ้ำ
ขณะที่เขากำลังดิ่งลึกอยู่กับความดีใจ ผิวแก้มของเขาก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆและกลิ่นกายหอมหวานของผู้หญิง
“เฮ้ยยยยย…!”เมื่อเขาได้สติก็ผวาร่างดีดตัวออกให้ห่างจากเจ้าของกลิ่นกายในทันที หญิงสาวเห็นดังนั้นก็หันมายิ้มหน้าทะเล้นให้กับเขาด้วยพอใจที่แกล้งเขาได้สำเร็จ เธอผู้นี้น่าจะอายุมากกว่าโฮลแค่ปีหรือสองปี ท่าทางสนุกสนานร่าเริงของเธอขัดกับรูปลักษณ์โดยรวมที่ดูโก้หรูไฮโซอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของเธอดูจะกลมกว้างเล็กน้อย ผมสีทองบลอนด์เปล่งประกายยาวเป็นลอนม้วนสลวยคล้ายกับขนมครัวซองต์ เรียงตัวเป็นพุ่มไล่ระดับอย่างสวยงาม ด้านหลังผูกด้วยโบสีชมพูขนาดใหญ่ขลิบขอบสีขาว บนใบหน้าดวงตาสีฟ้านั้นกลมโตประกอบกับขนตางอนยาวพอประมาณให้ดูมีเสน่ห์ยิ่งนัก จมูกโด่งสันเป็นคมรับกับปากบางสวยรูปกระจับที่มักประดับด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าใครเห็นก็ย่อมอ็นดูหญิงสาวผู้นี้เป็นแน่
เธอสวมใส่ยูนิฟอร์มของคลาสสาม ซึ่งคล้ายกับทหารหญิง มันเข้ากับหุ่นทรงที่อวบอัดสมส่วนและดูทะมัดทะแมงเมื่อร่วมกับความสูงของเธอ ในมือขวาของเธอยังหิ้วถุงกระดาษสีชมพูแปลกตา น่าจะมาจากร้านในห้างสรรพสินค้าสักแห่ง บนถุงติดโลโกรูปชั้นในอย่างโจ่งแจ้งอาจมาจากร้านชุดชั้นในก็เป็นได้
“โธ่...! พี่เรเน่ล่ะก็...มาแกล้งกันได้นะครับ” เด็กหนุ่มตัดพ้อทั้งที่ยังเขินจนหน้าแดงถึงใบหู
“ก็แหม! เห็นบาสตี้ตั้งอกตั้งใจมาก ก็เลยอยากแกล้งนี่นา...ฮิฮิ!” หญิงสาวพูดจาในเชิงหยอกล้อกับเด็กหนุ่มอย่างสนุกสนานเป็นกันเอง ดูๆแล้วทั้งสองน่าจะสนิทกันมากกว่าเพื่อนหรือคนรู้จักในโรงเรียนแห่งนี้
“เลิกเรียกผมว่าบาสตี้ ซะทีเถอะครับ ผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ” พูดแล้วก็แสร้งหันหน้าหนี หยิบบันทึกขึ้นมาดูต่อ จนรูปของโอรี่ล่วงลงมาบนโต๊ะให้หญิงสาวเห็น
“เห...เด็กคนนี้ มีอยู่จริงหรอกเหรอ” โฮลแปลกใจ ที่พี่สาวแสนสวยพูดเช่นนั้นออกมา “พี่รู้จักเธอด้วยหรือครับ”
“แหม...หนังสือโบราณพวกนี้ พี่ก็อ่านผ่านๆ เหมือนกันนะจ๊ะ มันสนุกเหมือนอ่านนิยายเลยล่ะ”
“แต่เธอไม่ได้เป็น แค่นิยายนะครับ” เด็กหนุ่มตอบโต้ด้วยความขึงขัง เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของเขา เรเน่เองก็อมยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ชอบเธอเหรอจ๊ะ?” คำถามนั่นทำให้โฮลลนลานเลิ่กลั่กในทันที “มะ...ไม่ใช่นะครับ” เขารู้ดีว่าตัวเองเก็บอาการไม่เก่งเอาซะเลย ยิ่งตอบตะกุกตะกักแบบนี้ยิ่งเข้าทางของเธอเป็นแน่
เรเน่ไม่ได้จู่โจมเด็กหนุ่มอีก เพียงแต่ลูบศรีษะปลอบโยนเขาเบาๆ โฮลเองก็สงบนิ่งเหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่ได้รับการปลอบโยนจากมารดา พลันเรเน่ก็สังเกตรูปถ่ายของโอรี่ที่อยู่บนโต๊ะ ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“บาสตี้ไม่ใส่เสื้อผ้า ให้เขาแบบนี้ น่าสงสารแย่เลยน้า ~!” เรเน่จงใจดัดเสียงสูงพร้อมเหล่หางตาหยาดเยิ้มใส่โฮล “อ่า...คือว่านั่นมัน” โฮลได้แต่อ้ำๆอึ้งๆ ไม่รู้จะตอบพี่สาวช่างแกล้งผู้นี้เช่นไร ระหว่างนั้นเรเน่ก็ยกแขนขวาขึ้นมาดูของในถุงกระดาษ แล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยอีกครั้ง
“อ๊ะจริงสิ…!! พี่เพิ่งซื้อนี่มา เอาไปให้เค้าใส่ซะน้า~!” ว่าแล้วพี่สาวแสนสวยก็ยัดเยียดถุงเสื้อผ้า ที่เพิ่งจะช็อปมาให้กับเด็กหนุ่ม แล้วผลุนผลันจะเดินหนีไป
“เอ๋...!! แต่นี่มันของพี่ไม่ใช่เหรอครับ” โฮลรีบท้วงขึ้นมาในทันที ฝ่ายหญิงสาวก็เอี้ยวตัวหันขวับกลับมาเช่นกัน ก่อนจะขยิบตาโปรยเสน่ห์ พร้อมพูดกับเด็กหนุ่มว่า
“งั้นคราวหน้าเราไปเดทกัน แล้วซื้อใหม่ให้พี่ด้วยล่ะ!?” ว่าพลางก็โปรยยิ้มแสนสดใสอีกระลอก จนเด็กหนุ่มไม่รู้จะโต้ตอบเช่นไร ได้แต่ปล่อยให้พี่สาวคนสวยเดินจากไปอย่างเงียบๆ
……………………………………………………………….….
………………………………
…………
แซ่กๆ. . .ฉึบๆ. . .ฉึบ. . . แซ่ก...เสียงประหลาดนี้เกิดจากการเสียดสี ของเสื้อผ้าที่โฮลได้รับมาจากเรเน่ กับผิวกายของโอรี่ แม้ว่าเขาจะคลุกคลีกับร่างกายของหุ่นสาวอยู่ทุกวัน(เพื่อซ่อมแซม) แต่ครั้งนี้สองมือของเขาสั่นเทากว่าทุกที ลมหายใจก็ติดขัดเพราะเขาต้องถอดกางเกงในตัวเก่าออกและสวมชุดใหม่เข้าไปแทน ระหว่างที่โฮลทำหน้าหื่นอยู่นั้นฝ่ายโอรี่ได้แต่หลับตาปี๋ด้วยความอาย สักครู่การเปลี่ยนชุดก็เสร็จสิ้นลง. . . .
“หืม...ก็เข้ากันดีนี่นา”…..โฮลกำลังมองดูโอรี่ในชุดใหม่อันแปลกตาอย่างตั้งใจ ก่อนจะหน้าแดงก่ำขึ้นมาอีกอย่างรวดเร็ว
“แต่ว่า?!. . . ทำไมมันดูเซกซี่กว่าเดิมได้ล่ะฟะ!!! W@#@$!@#!!#!$@#@#
W@#@$!@#!!#!$@#@#” (เลือดกำเดากระฉูด)!!!!!
ขณะที่โฮลกำลังเสียเลือดอยู่นั้น โอรี่ซึ่งอยู่ในชุดชั้นในผ้าลื่นในลายลูกไม้ กำลังหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายมากที่สุดตั้งแต่เกิดมา ส่วนแบร์ที่นอนแอบมองอยู่บนกองขยะใกล้ๆกับทั้งสอง ก็เผลอหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เขาหัวเราะนั่นมันเมื่อไหร่กัน
แน่นอนว่ายังมีอีกคนที่กำลังหัวเราะคิกๆคัก อยู่ในที่ห่างไกล เพราะภาพที่กำลังเกิดขึ้นนี้เธอได้วางแผนไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว!!!
……………………………………………………………….….
………………………………
…………
ค่ำคืนอันคุ้นเคยในสุสานขยะนอกเมือง ได้หวนกลับมาอีกครั้ง แม้แสงของพระจันทร์ยังคงงดงาม และประกายแสงสะท้อนจากกองขยะ ยังคงระยิบระยับอยู่เช่นเดิม แต่ค่ำคืนนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่ผิดเพี้ยนไป
ที่ตรงนี้ฉันและนักฆ่าหนุ่ม ยังคงนั่งอยู่เคียงข้างกันเหมือนเช่นคืนก่อนๆ แต่ดูเหมือนสีหน้าของแบร์จะแปลกๆอยู่บ้าง ใบหน้าที่เคยมีแต่ความเย็นชาของเขา กลับอมยิ้มจนแก้มตุ่ย เหมือนพยามจะอดกลั้นเสียงหัวเราะอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ส่วนฉันนั้นแสนจะอับอายกับสภาพของตัวเอง จนอยากจะแทรกกองขยะหนีให้รู้แล้วรู้รอด เพื่อปิดบังชุดชั้นในแสนวาบหวามที่โฮลสวมไว้ให้
“เอาน่ามันก็ดีกว่า กางเกงในยุ่ยๆตัวเก่าไม่ใช่เหรอ” แบร์พูดออกมาเหมือนพยายามจะปลอบใจฉัน ตั้งแต่เราเริ่มรู้จักกัน ทั้งเขาและฉันต่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย เหมือนกับว่าเราทั้งสอง ต่างเพิ่งจะเริ่มเติบโตและเรียนรู้ความหมายของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต นักฆ่าผู้เคยมีแต่ความเย็นชายิ้มให้ฉันเห็นบ่อยขึ้น บางทีก็ถึงกับหัวเราะ แต่คำพูดของเขาไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเท่าไหร่ ฉันเองก็เผลอค้อนควั่กออกไปโดยไม่รู้ตัว
“หมอนั่นแปลกดีนะ เธอเองอาจจะค้นพบเหตุผล ในการใช้ชีวิตแล้วก็ได้” ฉันได้ยินคำนั่นก็รีบแสดงสีหน้าปฏิเสธอย่างไม่ค่อยเข้าใจตัวเองนัก ส่วนแบร์เองก็ยิ้มเหมือนผู้มีชัยเมื่อเห็นปฏิกริยาของฉัน
“เห!!” เสียงแหลมสูงที่แบร์คุ้นเคยดังขึ้น ทำลายบรรยากาศลงอย่างไม่มีชิ้นดี
“ตายจริ๊ง...นายมีรสนิยมพันธุ์นี้เองเหรอเนี่ย” (...ถึงกับเอาชุดอะไรมาใส่ให้เนี่ย...กระซิบเบาๆแล้วปั้นหน้าทำคิ้วขมวด ห่อปากอย่างสงสัยซะเหลือเกิน) เวนนี่ยังคงใช้ถ้อยคำไม่รื่นหูและอากัปกริยาน่าหมั่นใส้เหมือนทุกครั้ง หากแต่มันก็ไม่ได้ระคายเคืองต่อแบร์แม้แต่น้อย
“แหมมมม...!! ทั้งๆที่มี Ms. เวนนี่ เอเยนต์สาวสวยเซ็กซี่อยู่ทั้งคนแท้ๆ กลับมานั่งจมปลัก กับตุ๊กตาเชยๆ พังๆ เนี่ยน่ะเหรอ!!” เอเยนต์สาวยังคงโพล่งพล่ามไม่หยุด แถมยังเอื้อมมือมาเชยคางของฉันเชิดขึ้นด้วย ฉันเองก็แสดงสีหน้าสู้ ให้เห็นกันตรงๆไปเลยว่าโกรธอย่างรุนแรง “อะไรกันยะยัยนี่นิ” ถึงจะพูดออกมาไม่ได้แต่มันก็เกิดขึ้นในใจฉันอย่างชัดเจน ทั้งที่เมื่อก่อนฉันใจเย็น กับคำพูดของมนุษย์ทั่วไป จนแทบไม่สนใจแท้ๆ ดูเหมือนเวนนี่ก็ไม่ได้ตกใจ กับการแสดงสีหน้าของฉันเท่าไหร่นัก แถมยังยิ้มเย้ยหยันราวกับตัวเองสูงกว่าซะเต็มประดา ระหว่างที่สงครามระหว่างฉันกับเธอกำลังปะทุ อยู่ๆแบร์ก็สอดแทรกเข้ามาอย่างได้ใจฉันเหลือเกินว่า
“อย่างน้อยซิลิโคนก็ใหญ่กว่าของจริงนะ...”…..เปรี๊ยะ.... (เสียงอะไรสักอย่างร้าว)
แม้คนพูดจะไม่ได้ใส่อารมณ์สักเท่าไหร่ ตามสไตล์ของตัวเขา แต่คำพูดนั่นก็ทำให้สีหน้าของเวนนี่หดหู่อย่างเห็นได้ชัด เธอก้มมองหน้าอกฉัน ก้มมองหน้าอกตัวเอง แล้วก็มองหน้าฉันสลับไปมาอย่างน่าขัน ส่วนฉันแม้จะมองไม่เห็นสีหน้าของตัวเอง แต่ก็รู้สึกได้เลยว่า บนใบหน้าของฉันมีคำว่าผู้ชนะเขียนอยู่ พร้อมด้วยเสียง ...ฮึ...ฮึ...ฮึ...ฮึ... แว่วดังออกมาจากหัวใจ จนเอเยนต์สาวได้แต่กัดฟันกรอดๆ ไม่รู้จะหาที่ลงให้ตัวเองได้อย่างไร
“เรื่องไร้สาระนั่นพอเถอะ ว่าเรื่องงานมาดีกว่า” แบร์เอ่ยตัดบทขึ้นมาด้วยความเบื่อหน่าย แต่เอเยนต์สาวดูจะยังโมโหเขาอยู่จึงแกล้งสบัดคางของฉันอย่างแรง “ชิ” แล้วจึงหันมากล่าวธุระต่อว่า
“คนต่อไป ที่นายต้องฆ่าคือโฮล...บาสตีล โฮล” หล่อนพูดพร้อมกับควักรูปถ่ายออกมาโยนให้แบร์ดู
หา…!!!! ฉันถึงกับร้องเสียงหลงทั้งที่ออกเสียงไม่ได้ แบร์ดูรูปใบนั้นอย่างไม่มีปฏิกริยาอะไรให้เห็น แต่ฉันก็คงกล่าวโทษอะไรเขาไม่ได้ เพราะนั่นมันเป็นงานของเขา
“หืม” เอเยนต์สาวออกเสียงเพียงเบาๆ เมือเห็นปฏิกริยาของฉัน แล้วจึงหันมาเย้ยหยันฉันด้วยสายตา ฉันพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองทำสีหน้าอย่างไร ความสิ้นหวังกำลังเกาะกินหัวใจของฉัน
“ทำได้ใช่ไหมแบร์” เธอถามเหมือนจะลองใจเขา
“นอกจากการฆ่า ฉันก็ไม่มีเหตุผลอื่นในการมีชีวิตอีก เธอไม่ต้องห่วงไปหรอก” สีหน้าของแบร์เย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็ง สายตาของเขาเริ่มเหม่อมองท้องฟ้าอีกครั้ง ฝ่ายเอเยนต์สาวก็ยิ้มเยาะฉันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินหายลับไปกับความมืด
ฉันกับแบร์ยังคงนั่งนิ่งอยู่ใต้ท้องฟ้าสีหม่น แบร์เองไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย นับตั้งแต่เวนนี่จากไป ซึ่งหากฉันเป็นเขาก็คงคิดไม่ออก ว่าจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด ในหัวใจฉันร่ำร้อง ที่จะร้องขอให้เขาอย่าฆ่าโฮล แต่ฉันเองก็พอจะรู้ว่า โลกของนักฆ่าคงไม่ง่ายดายขนาดนั้น จึงได้แต่นิ่งเฉยปล่อยให้เวลาผันผ่านไป
“โอรี่...”
ชื่อนั่นปลุกฉันจากภวังค์อันสิ้นหวัง เดี๋ยวก่อนแบร์เรียกชื่อของฉัน!! แม้เราจะรู้จักและพูดคุยกันมาเกือบเดือน แต่เขาก็ไม่เคยเอ่ยชื่อที่โฮลตั้งให้ฉันแม้สักครั้ง ภายในร่างของฉันริ่มหวั่นไหวอย่างรุนแรง ด้วยความตระหนกต่อเนื้อความที่เขาจะพูดออกมา
“ฉันเองก็ไม่รู้ ว่าตัวเองจะเข่นฆ่าไปเพื่ออะไร ทุกๆวันฉันมีชีวิตอยู่ เพื่อพรากชีวิตผู้อื่น จนกว่าวันที่ฉันพลาดพลั้งจะมาถึง และตายไป” น้ำเสียงของเขาทุ้มหนัก และสม่ำเสมอจนทำให้ฉันผวา คำพูดของเขาทำให้ฉันไม่อาจตำหนิอะไรเขาได้
“ถึงฉันจะไม่ฆ่าเขา ก็จะมีคนอื่นมาฆ่าเขาอีกแน่” ฉันได้แต่พยักหน้ารับความจริงข้อนั้น
“แต่เหนือสิ่งอื่นใด ฉันไม่รู้ว่า ถ้าฉันทรยศต่อองค์กร แล้วฉันจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร และเพื่ออะไร” แบร์เริ่มแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้งหนึ่ง ฉันเองก็มองตามเขา แสงของจันทราช่างสว่างสดใส แต่ในใจของฉันรู้สึกเศร้าหมองเหลือเกิน ฉันไม่รู้และไม่อาจรู้ได้ว่าในใจของแบร์คิดอะไรอยู่ ฉันก็ได้แต่หวังว่าเขาเองจะไม่เจ็บปวดมากมายเท่าฉัน
……………………………………………………………….….
………………………………
…………
แสงแดดอุ่นๆของยามบ่าย สาดแสงลงมาทำให้ทั่วบริเวณสุสานแห่งนี้อบอุ่นขึ้นทันตา ฉันเองแม้สัมผัสถึงความอุ่นไม่ได้ แต่แสงสีเหลืองอ่อนๆที่ห่มคลุมอยู่บนพื้นแผ่นดิน สะท้อนอยู่บนกอหญ้าน้อยก็ทำให้ฉันจินตนาการถึงมัน แบร์ยังคงนอนนิ่งเฉยอยู่บนกองขยะสูงใหญ่ ส่วนเด็กหนุ่มผู้แสนดีก็ยังมาไม่ถึงสถานที่แห่งนี้ ตัวฉันที่เป็นเพียงตุ๊กตากลคงไม่มีสิทธิ์ ที่จะอ้อนวอนต่อสวรรค์ หรือผู้อยู่บนนั้น แต่มันก็เป็นเพียงหนทางเดียวของหุ่นที่ไม่มีแม้แขนขา ไม่สามารถแม้ออกเสียง จะกระทำได้ คำอ้อนวอนของฉันต่อผู้กำหนดชะตาฟ้า ขอเพียงว่าให้เด็กหนุ่มแสนอ่อนโยนผู้นั้น หลงลืมฉันไปซะและขอให้เขาอย่าได้มาที่นี่อีก...
พระอาทิตย์ได้เคลื่อนคล้อยลงต่ำและเริ่มจะหมดแสงอยู่เรืองๆ เหมือนว่าคำขอของฉันจะสัมฤทธิ์ผล เพราะป่านนี้แล้วโฮลก็ยังไม่มา นั่นทำให้ฉันทั้งดีใจและใจหายพร้อมๆกัน แต่มันคงจะดีกว่าถ้าเขาไม่มาจริงๆ
ฉันหลับตาลงช้าๆเพราะเริ่มรู้สึกเหนื่อยที่จะคิดอะไรอีก แต่ระหว่างที่ดวงตาฉันกำลังหลับลง เงาร่างที่ฉันไม่อยากเห็นก็ปรากฏขึ้นลางๆ
“โอรี่” เสียงเรียกที่คุ้นหูแต่ไม่อยากได้ยินดังขึ้น ฉันเสียใจและอยากจะปิดตาเอาไว้
“เป็นอะไรไปโอรี่ ลืมตาสิ” เสียงโฮลพูดอย่างเร่งร้อน ทำให้ฉันเริ่มลังเล ในขณะเดียวกันตัวของฉันก็เริ่มถูกเขเย่า ฉันรู้สึกถึงมันได้เพราะเซนเซอร์ที่ดวงตา กำลังกลิ้งเกลือกหมุนคว้างไปหมด ฉันยังคงปล่อยให้ความมืดมิดปิดบังความจริง บดบังหัวใจของฉันเอาไว้
ในความมืดมิด เสียงเรียกของโฮลยังคงดังมาไม่ขาดสาย “โอรี่” “เฮ้...ตื่นสิ”….. “ฉันรู้นะว่าเธอแกล้งฉัน….” “เฮ้ไม่เอาน่าทำยังงี้ฉันกลัวนะ….” “อุตส่าห์หาทางได้แล้วแท้ๆ” “โอรี่…!”
เขาพร่ำเรียกฉันเหมือนกลัวว่าจะต้องสูญเสียฉันไป แต่นั่นมันไม่ใช่หรอก เป็นฉันต่างหากที่จะต้องสูญเสียเขา สติของฉันเริ่มดิ่งลึกลงไปสู่ความมืดมิดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แล้ว…
สวบ!!
เสียงอะไรบางอย่างเสียบเขาสู่ร่างของโฮล แม้ว่ามันไม่ได้ดังกึกก้อง แต่ก็ดังลึกเข้าไปถึงความมืดในสติของฉัน ฉันลืมตาขึ้นในบัดดล ภาพตรงหน้าทำให้ฉันแทบสำลักความสิ้นหวัง
ช่วงอกฝั่งขวาของโฮลถูกแทงจากข้างหลังด้วย คมดาบสั้นวาววับ ตัวคมดาบยาวราวครึ่งศอก มันแทงเข้ามามิดจนทะลุอีกฝั่งหนึ่ง เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นจนเปรอะเปื้อนตามตัวฉันบางส่วน แต่ส่วนใหญ่ใหลซึมและค่อยๆย้อมเสื้อยูนิฟอร์มสีขาวของเขา
ร่างที่สั่นเทาเพราะความเจ็บปวด กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าฉัน สองมือยังคงจับใหล่ของฉันเอาไว้แน่น เลือดเริ่มทะลักอออกจากมุมปากของเขา เพราะสำลักเลือดจากช่องปอด
อ่อก...อั่ก...โอรี่.... แม้ยังสำลักเลือดอยู่แต่เมื่อโฮลเห็นฉันลืมตาเขาก็ยังฝืนยิ้มให้ฉัน ฉันอยากจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร เพราะน้ำตามมันไม่ยอมไหลออกมา
เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกนิด ฉันมองเห็นร่างของนักฆ่าผู้เยียบเย็น เขาแตกต่างจากแบร์ที่เคยใจดีกับฉันอย่างสิ้นเชิง ชุดคลุมสีดำทะมึนทำให้เขาดูเหมือนมัจจุราชที่ยืนอยู่ข้างหลังโฮล มือขวาของเขากำด้ามดาบอยุ่อย่างหลวมๆ เขาไม่ได้มองมาที่ฉันแต่มองไปยังฟากฟ้าเหมือนจะทวงถามอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็เริ่มเอ่ยบางสิ่ง
“อยากร่ำลาอะไรก็บอกกันให้เรียบร้อย ฉันจะปักมีดนี่ไว้จนกว่าจะเสร็จ” นั่นคงเป็นความเมตตาในแบบของเขา แต่แบร์เองก็ยังไม่ยอมหันมาสบตาฉัน
“หึหึหึ” พลันเสียงหัวเราะของโฮลก็ทำให้ฉันและแบร์ต้องประหลาดใจ “อุตส่าห์รู้วิธีแล้วแท้ๆ” โฮลพูดพลางก็เริ่มรุกล้ำช่องตรงท้องของฉันอีกครั้ง ตัวฉันเองก็ต่อต้านอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงมองตามมือและใบหน้าของเขาอย่างห่วงใย
เสียงกิ๊ดๆ แก๊กๆ เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อไขควงของโฮลสัมผัสกับกลไกในร่างกายของฉัน เลือดที่ปากแผลของโฮลหยุดใหลแล้ว คงเพราะมันแข็งตัวด้วยอากาศที่เริ่มหนาวเย็นช่วยเร่ง แต่ดูเหมือนโฮลจะยังเจ็บปวดอยู่มากเพราะเขาไม่สามารถซ่อนมันเอาไว้ใต้รอยยิ้มอีก
ฉันเหลือบมองไปยังชายอีกคนเขายังคงยืนนิ่ง แต่ก็แอบเหลือบมองที่โฮลกำลังซ่อมฉันอย่างสนใจ และเหมือนจะแอบลุ้นอยู่ไม่น้อย
ณ วินาทีนั้น ฉันกลับรู้สึมีความสุขอย่างประหลาด คงเพราะพวกเขาต่างกำลังทำเพื่อฉัน หากเราทั้งสามมาพบกันภายใต้สถานะที่ต่างออกไป เราคงจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเป็นแน่ ขณะที่ฉันกำลังยิ้มปนเศร้าอยู่นั้น อยู่ๆความรู้สึกหนึ่งที่ฉันไม่เคยรู้สึกมาก่อนก็พลันแล่นขึ้นมา
....อื๊อ!!...!! ไม่ใช่แค่ความรู้สึกเสียแล้ว แม้แต่เสียงเล็กๆเสียงแรกของฉันก็พลันดังออกมา ใบหน้าของแบร์แสดงความตกใจอย่างเห็นได้ชัด คงเพราะสีหน้าอันเหยเกของฉัน มันรู้สึกยุบยิบไปหมดเมื่อโฮลขยับไขควงไปโดนชิ้นส่วนกลไกภายในร่าง เด็กหนุ่มผู้นี้ยิ้มกว้างให้กับฉัน พร้อมกับถอนมือออกวางไขควงไว้ข้างกาย ฉันสบตาเขาแล้วยิ้มด้วยความรู้สึกตื้นตันอย่างอธิบายไม่ถูก คำพูดมากมายที่อยากจะบอกเขา มันไม่สามารถเรียบเรียงออกมาได้ จนเขาเป็นฝ่ายชิงพูดออกมาเสียก่อน
“คราวนี้...เธอบอกชื่อจริง...ของเธอให้...ฉันฟังหน่อย...นะ” น้ำเสียงของเขาสั่นเทา คงเพราะความเจ็บปวดและความหนาวที่ฉันเองก็เพิ่งรู้สึกได้ ฉันยิ้มให้เขาก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ
“ชื่อของฉัน มีเพียงโอรี่...เท่านั้น” รอยยิ้มที่ฉันพยามยิ้มอยู่นั้นมันแบกรับความรู้สึกมากมายเอาไว้ ทั้งปลื้มปิติที่ได้เอ่ยคำพูดคุยกับหนุ่มน้อยผู้นี้ และทั้งที่รู้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พูดคุยกัน ฉันรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ระบบน้ำตาของฉันไม่ทำงาน ไม่งั้นฉันคงจะร้องไห้ออกมาให้โฮลต้องเศร้าใจ
“ฮะฮะฮะ” เด็กหนุ่มผู้น่าสงสารหัวเราะออกมา อาจเพราะคำตอบของฉัน หรืออาจเพื่อหลีกหนีจากความจริงของโชคชะตา ฉันเองก็เผลอหัวเราะตามเขาไปด้วย ฉับพลันเขาก็สวมกอดฉันด้วยวงแขนอันอ่อนโยน แต่แนบแน่น
อุ่น!! มันอบอุ่นเหลือเกิน ร่างกายของมนุษย์อบอุ่นขนาดนี้เชียวหรือ ฉันเคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสที่ผิวกาย ทั้งความอบอุ่นของวงแขน ความรู้สึกของกล้ามเนื้ออันแข็งแรงของเขา และความเจ็บปวดที่ถูกส่วนปลายของดาบ ที่ยังปักคาอยู่ตรงอกของโฮลบาดเอา แต่ช่างมันปะไรเล่า เขากอดฉันไว้โดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก ปล่อยให้ความรู้สึกของเราทั้งสองถูกรับรู้ผ่านร่างกาย หัวใจของเขาเต้นอยู่ใกล้กับหัวใจของฉัน จนฉันรู้สึกว่ามันแทบจะสัมผัสกัน ระหว่างที่เรากอดกันอยู่นั้น ฉันแอบสังเกตเห็นแบร์หลับตาลงและเผยยิ้มอย่างมีความสุข
……………………………………………………………….….
………………………………
…………
ทันใดนั้น...ฉันก็รู้สึกได้ถึงเศษของอะไรสักอย่าง ตกกระทบตามผิวกาย มันรู้สึกเย็นตรงจุดที่สัมผัสทุกๆครั้ง... ตุ๊กตาที่ไม่เคยสัมผัสของจริงอย่างฉัน จึงรู้ว่ามันคือภูตพรายสีขาว ผู้มาจากฟากฟ้านั่นเอง
“นี่โฮล…!!..ดูสิหิมะล่ะ..!!” ฉันเอ่ยคำออกมาพร้อมนัยตาที่บ่งบอกถึงความลิงโลดในหัวใจ..ทว่า...
อนิจจา....เด็กหนุ่มผู้แสนดีไม่อาจเอ่ยคำใดๆตอบฉันอีกแล้ว ด้วยร่างกายที่แนบชิดกันอยู่ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกได้ว่าตัวเขาค่อยๆเย็นลงช้าๆ โดยไม่ใช่เพราะอากาศหนาวหรือหิมะ
โฮล!!...โฮล..!!...ฉันร้องเรียกเขาแม้จะรู้ว่ามันคงไปเป็นผล ขณะเดียวกันก็เริ่มรู้สึกแสบขอบตาเป็นอย่างมาก ตอนนั้นฉันไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น ความคิดในหัวฉันหมุนคว้างไปมาราวกับเกิดพายุ ปากของฉันสั่นเทาร่างกายเริ่มสั่นไปทั้งร่าง
ทันใดนั้น...
น้ำใสๆก็รินไหลออกมาจากขอบตาของฉัน...
นี่หรือคือน้ำตา? นี่หรือคือสิ่งที่เรียกว่าการร้องไห้... ฉันเริ่มแผดเสียงร้องสะอึกสะอื้นออกมา พร้อมๆกับที่น้ำใสๆไหลออกมาไม่หยุด ฉันไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้อีกแล้ว ฉันไม่มีทั้งแขนที่จะโอบกอดตอบเขา และไม่มีความสามารถใดๆที่จะฉุดรั้งชีวิตของเขาไว้ ได้แต่ปล่อยให้ความอบอุ่นแรกในชีวิต ค่อยๆจากฉันไป
หิมะเริ่มตกหนักขึ้นทุกที เหมือนกับว่าต้องการจะกลบเอาความเศร้าโศกให้กลืนหายไปกับสีขาว กองขยะน้อยใหญ่ก็เริ่มถูกปกคลุมด้วยสีขาวไปเสียสิ้น รวมไปถึงร่างของเราทั้งสามคนด้วย สามคน? ใช่แล้วฉันลืมแบร์ไปเสียสนิท เขายังคงสงบนิ่งมองเราทั้งสองอยู่โดยไม่ไหวติง จนฉันแทบจะนึกว่าเขาได้ตายไปกับโฮลด้วย
ใบหน้าของเขาไม่ได้เศร้าหมองเท่าไหร่นัก ความตายคงเป็นเหมือนความเคยชินสำหรับเขาเสียแล้ว เมือเขาสังเกตเห็นฉันที่จ้องมองเขาอย่างคับข้องใจ ก็เหมือนกับเขารอจังหวะนี้อยู่ เพื่อจะเอ่ยคำพูดกับฉัน
“สิ่งสุดท้ายที่ฉันจะทำให้เธอได้คือการปลิดชีวิตของเธ....” แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ รอยยิ้มของฉันก็เหมือนกับแช่แข็งเขาเอาไว้
“ฉันขออยู่อย่างนี้ได้ไหม.....อยู่กับเขาตลอดไป”
………..
……
..
ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากของเราทั้งสามอีก
หิมะโปรปรายกลบกลืนทุกย่างจนกลายเป็นเพียงสีขาว
ทั้งสีแดงของเลือด...สี่หม่นของความเศร้า...หรือสีของความอบอุ่น...
หนึ่งคนได้จากไปตามทางที่เขาต้องค้นหา
หนึ่งคนจากไปโดยทิ้งไว้แต่เพียงร่าง
หนึ่งคนยังคงอยู่และจะจดจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้น….
ตลอดไป…
ข้อมูลจะถูกนำออกทำให้ไม่สามารถอ่านได้อีกน่าเสียดายมากเลย
แน่ใจแล้วหรือที่ต้องการลบข้อมูลออก
หากยืนยันแล้วจะไม่สามารถกู้คืนมาได้อีกนะ!