กำเนิด ๔ ของมนุษย์ เรียงตามหลักอาทิกัลยาณัง/งามในเบื้องต้น มัชเฌกัลยาณัง/งามในท่ามกลาง ปริโยสานกัลยาณัง/งามในบั้นปลาย
วันที่โพสต์: 06/11/2020

จาก กำเนิด ๔ ของมนุษย์ เรียงตามหลักอาทิกัลยาณัง/งามในเบื้องต้น มัชเฌกัลยาณัง/งามในท่ามกลาง ปริโยสานกัลยาณัง/งามในบั้นปลาย

 

จาก กำเนิด ๔ ของมนุษย์ เรียงตามหลักอาทิกัลยาณัง/งามในเบื้องต้น มัชเฌกัลยาณัง/งามในท่ามกลาง ปริโยสานกัลยาณัง/งามในบั้นปลาย

 

๑.อัณฑชะ(Andaja)-เจ้าดิสสกุมาร และ เจ้ามิตรกุมาร(ผู้น้อง) บุตรของพราหมณ์กับนางกินรี ทั้ง๒คลอดออกมาเป็นไข่๒ใบ (กรณีนี้จัดเป็นการผสมข้ามสายพันธุ์ โอกาสรอดมีเพียง๑๐%เท่านั้น เพราะคลอดยากมาก และโอกาสแท้งสูง การที่ กุมารทั้ง๒รอดได้ บิดาผู้เป็นพราหมณ์นั้นจะต้องทำพิธีหน้ากองไฟเพื่อขอบุตร-ประคองไม่ให้แท้ง ลูกผสมข้ามสายพันธุ์เหล่านี้ จะมีความสามารถพิเศษหลายประการ แต่จะมีจุดอ่อนในร่างกาย แบบพวกครึ่งเทพในตำนานกรีก)

 

นิทานซ้อนจาก มโหสถชาดก

 

    กินรีชื่อรัตนวดีมีอยู่ แม้นางก็ได้ร่วมรักกะดาบสชื่อวัจฉะ มนุษย์ทั้งหลายร่วมอภิรมย์กับมฤดีก็มี มนุษย์และสัตว์ไม่เป็นเช่นเดียวกัน ในเพราะกามย่อมไม่มี.บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วจฺฉํ ความว่า กะดาบสผู้มีชื่ออย่างนั้น. ก็กินรีนั้นได้ร่วมรักกะดาบสนั้นอย่างไร. ในอดีตกาล มีพราหมณ์คนหนึ่งเห็นโทษในกามทั้งหลาย จึงละยศใหญ่ออกบวชเป็นฤๅษี สร้างบรรณศาลาอยู่ ณหิมวันตประเทศ. กินนรเป็นจำนวนมากอยู่ ณ ถ้ำแห่งหนึ่งใกล้บรรณศาลาของฤๅษีนั้น. แมลงมุมตัวหนึ่งอยู่ ณ ประตูถ้ำนั้น. มันได้กัดศีรษะของกินนรเหล่านั้น ดื่มกินโลหิต. ธรรดากินนรทั้งหลายหากำลังมิได้ เป็นชาติขลาด. แม้แมลงมุมตัวนั้นก็ใหญ่โตมาก กินนรทั้งหลายไม่อาจจะทำอะไรมันได้ จึงเข้าไปหาดาบสนั้น. ทำปฏิสันถารแล้ว ดาบสถามถึงเหตุที่มา. จึงพากันบอกว่า มีแมลงมุมตัวหนึ่งประหารชีวิตของพวกข้าพเจ้า. พวกข้าพเจ้าไม่เห็นผู้อื่นจะเป็นที่พึ่งได้. ขอท่านจงฆ่ามันเสีย ทำความสวัสดีแก่พวกข้าพเจ้า. ดาบสได้ฟังคำดังนั้น ก็รุกรานว่า พวกเองไปเสีย. บรรพชิตทั้งหลาย เช่นเราไม่ทำปาณาติบาต. บรรดากินนรเหล่านั้น มีกินรีชื่อรัตนาวดี ยังไม่มีผัว. กินนรเหล่านั้นจึงตกแต่งกินรีรัตนวดีนั้น แล้วพาไปหาดาบส. กล่าวว่า กินรีนี้จงเป็นผู้บำเรอเท้าท่าน. ท่านจงฆ่าปัจจามิตรของพวกเราเสีย. ดาบสเห็นกินรีรัตนวดีก็มีจิตปฏิพัทธ์ จึงสำเร็จร่วมอภิรมย์กับกินรีนั้น แล้วไปยืนที่ประตูถ้ำ. ตีแมลงมุมออกมาหากิน ด้วยค้อนให้สิ้นชีวิต. ดาบสนั้นอยู่สมัครสังวาสกับกินรีนั้น มีบุตรธิดาแล้วทำกาลกิริยา ณ ที่นั้นแล. กินรีรัตนวดีนั้นรักใคร่ดาบสชื่อวัจฉะ ด้วยประการฉะนี้. สุวโปดกนำอุทาหรณ์นี้มา เมื่อจะแสดงว่า วัจฉดาบสเป็นมนุษย์ ยังสำเร็จสังวาสกับกินรีนั้นผู้เป็นดิรัจฉานได้

 

จาก พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๕

 

    มีมาในธัมมบทว่า พระ ๒ องค์ ที่เรียกกันว่า ทเวพา และ ติกเถระ ซึ่งเป็นบุตรของ โกตนกินรี เมื่อเกิดมาทีแรก ออกมาเป็นฟองไข่ก่อน แล้วจึงคลอดออกมาจากฟองไข่นั้นอีกทีหนึ่ง

 

 

๒.ชลาพุชะ(Jalabuja)-มี๗ประการ [เหตุที่ให้สตรีตั้งครรภ์มี ๗ อย่าง]

 

    ๑.กายสังสัคคคัพภะ(Kayasansaggagabbha)[กายสํสคฺเคน คพฺภคฺคหณํ]-เกิดมีครรภ์ด้วยการที่สตรีสมาคมกับบุรุษเมื่อมีระดู(วิธีปกติทั่วไป)


 

 

๒.โจลัคคหณคัพภะ(Colaggahanagabbha)[โจลคฺคหเณน คพฺภคฺคหณํ]-เกิดมีครรภ์ด้วยการที่สตรีนำเสื้อผ้าของบุรุษคนรักมานุ่งห่มชมเชยแทนตัวบุรุษนั้น


 

กล่าวโดยสรุปย่อคือ สตรีนำผ้านุ่งของบุรุษที่มีน้ำสัมภวะ(เชื้อ)ติดอยู่ใส่ลงในองค์กำเนิดของตนเอง ขณะที่มีระดูอยู่ จึงเป็นเหตุให้ตั้งครรภ์ หากกล่าวอีกนัยหนึ่ง อาจหมายถึงสิ่งที่ในยุคปัจจุบันเรียกว่า เทคโนโลยีชีวภาพด้านการผสมเทียม(Artificial insemination) ก็เป็นได้


 


 

๓.อสุจิปานคัพภะ(Asucipanagabbha)[อสุจิปาเนน คพฺภคฺคหณํ]-เกิดมีครรภ์ด้วยการที่สตรีได้กินน้ำราคะที่ตกออกมากับปัสสาวะ(เคยมีแม่เนื้อตัวหนึ่งกินน้ำราคะที่เจืออยู่ในปัสสาวะของฤๅษีบนใบหญ้าจนเกิดครรภ์ และคลอดออกมาเป็นฤๅษีอิสิสิงคดาบส สันนิษฐานว่าน้ำราคะนั้นมีรังสีจากตบะฤๅษีอยู่)

 

    ในนิทานพื้นบ้านมีการนำมาดัดแปลงใช้อีก เช่น ในกรณีของท้าวแสนปมที่ปัสสวะเลี้ยงต้นมะเขือจนออกผลใหญ่โตสมบูรณ์ผิดธรรมชาติ เมื่อนำไปถวายให้เจ้าหญิงเสวย เจ้าหญิงจึงตั้งครรภ์ ในกรณีนี้ให้ถือว่า เมื่อน้ำราคะที่เจืออยู่ในปัสสวะนั้นได้เข้าไปอยู่ในผลมะเขือด้วย จึงถือว่าเป็นการกินน้ำราคะทางอ้อม และมีนิทานอีกหลายเรื่องที่ตัวเอกเกิดขึ้นโดยไม่มีพ่อแต่เป็นเพราะแม่ได้ดื่มน้ำ(ปัสสวะ)จากรอยเท้าสัตว์ใหญ่ เช่น เสือ สิงห์ ช้าง จนตั้งครรภ์ รวมถึงตำนานต่างชาติที่ระบุถึงสตรีที่ได้ดื่มน้ำจากบ่อน้ำ(ศักดิ์สิทธิ์)แล้วเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา ก็นับว่าเป็นการเกิดแบบนี้ทั้งสิ้น


 

    อนึ่ง ในโลกวรรณกรรมและแฟนตาซีสากล การที่มนุษย์กับปีศาจรึสัตว์ประหลาดซึ่งมีขนาดร่างกายแตกต่างผิดกันอย่างเห็นได้ชัด มีลูกด้วยกันได้อย่างไร(เช่นกรณีมนุษย์กับมังกร)ซึ่งเป็นการตั้งครรภ์กับต่างสายพันธุ์นี้ ก็น่าจะเกิดจากการตั้งครรภ์แบบ " อโลฉปานคัพภะ " เป็นอีกกรณีหนึ่งได้เช่นกัน

 

จารึกภาพท่านอิสิสิงคดาบส(Isisanga)
 

 

๔.นาภีปรามาสนคัพภะ(Nabhiparamasanagabbha)[นาภิปรามสเนน คพฺภคฺคหณํ]-เกิดมีครรภ์ด้วยการที่สตรีถูกบุรุษลูบคลำเนื้อตัวและท้อง ประกอบกับสตรีนั้นรักบุรุษนั้น


 

ใช้นิ้วสัมผัสบริเวณสะดือสตรี ในเวลาสตรีมีระดู เช่น กรณีการเกิดของ มัณฑัพยกุมาร บุตรของ มาตังคดาบส(มาตังคฤๅษี)และนางทิฏฐมังคลิกา)


 


 

๕.ทัศนคัพภะ(Dassanagabbha)[(รูป)ทสฺสเนน คพฺภคฺคหณํ]-เกิดมีครรภ์ด้วยการที่สตรีจ้องดู(รูป)

สตรีบางพวกในโลกนี้ ในเวลาที่ตนมีระดู เมื่อไม่ได้การเคล้าคลึงกับชาย จึงเข้าไปในเรือน จ้องดูชายด้วยอำนาจความกำหนัดพอใจ (แล้วก็ตั้งครรภ์) เหมือนนางสนมชาววัง ฉะนั้น. นางย่อมตั้งครรภ์ เพราะการจ้องดูชายนั้น. การตั้งครรภ์ย่อมมีได้เพราะการจ้องดูรูป ด้วยอาการอย่างนี้.(???)

ในกรณีของสัตว์เดรัจฉานนี้ยังไม่แน่ชัด แต่กรณีที่ใกล้เคียงกัน อาจเป็นทฤษฎีการผสมปลากัดรูปแบบหนึ่งโดยใช้ภาพของปลากัดเพศผู้(ที่ออกแบบไว้)ไปติดไว้ข้างโหลปลากัดตัวเมียจ้องดู เพื่อกระตุ้นให้ตัวเมียเกิดไข่สุกพร้อมผสมรออยู่ในท้องก่อน(มีระดู) จากนั้นเมื่อถึงเวลาจึงปล่อยปลากัดเพศผู้ที่มีลักษณะคล้ายกับรูปปลากัดที่ออกแบบเอาไว้ลงไปรัดตัวเมียและทำการผสมไข่เหล่านั้นอีกที กล่าวกันว่า การผสมรูปแบบนี้ จะทำให้ลูกปลากัดส่วนหนึ่งมีลักษณะคล้ายแม่ ส่วนหนึ่งลักษณะคล้ายพ่อ และอีกส่วนหนึ่งจะคล้ายกับภาพปลากัดที่ได้ออกแบบไว้นั่นเอง


 

***อนึ่ง ทัศนคัพภะ(การตั้งครรภ์จากการถูกกระตุ้นด้วยรูปภาพ)นี้ อาจเป็นกรณีของพวกสัตว์เพศเมียในสวนสัตว์ที่ถูกจับขังแยกจากเพศผู้อย่างเด็ดขาด แต่เพศเมียนั้นยังสามารถมองเห็นเพศผู้ได้อยู่(เช่นกรณีถูกขังอยู่ในกรงรึห้องกระจกที่มองเห็นภายนอกได้) สัตว์เพศเมียดังกล่าวจึงสามารถตั้งครรภ์ได้เมื่อถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้าคือ ภาพของเพศผู้ที่ถูกขังแยกเอาไว้ต่างหากจากอีกที่หนึ่ง


 


 

๖.สัทเทนคัพภะ(Saddenagabbha)[สทฺเทน คพฺภคฺคหณํ]-เกิดมีครรภ์ด้วยการที่สตรีได้ยินเสียง(สัทท-เสียง)ที่มากระทบหู(ระบบประสาทรับเสียง) เป็นตัวกระตุ้น

ในกรณีของสัตว์เดรัจฉาน มีระบุรายละเอียดการตั้งครรภ์แบบ สัททคัพภะ ไว้ในพระไตรปิฎกว่า

ในกาลทุกเมื่อ คือในกาลทั้งปวง นกยางตัวผู้ย่อมไม่มีในกำเนิดนกยาง คือในชาตินกยางฉันใด.

หากจะมีคำถามสอดเข้ามาว่า เมื่อไม่มีตัวผู้ พวกนกยางจะตั้งครรภ์ได้อย่างไร? ตอบว่า เมื่อเมฆครางกระหึ่ม คือทำเสียง นางนกยางเหล่านั้นได้ฟังเสียงเมฆร้องย่อมตั้งครรภ์ในกาลทุกเมื่อ คือในกาลทั้งปวง. อธิบายว่า ย่อมทรงฟองไข่ไว้. เมฆยังไม่ครางกระหึ่ม คือเมฆยังไม่ทำเสียงเพียงใดคือตลอดกาลมีประมาณเท่าใด นางนกยางทั้งหลายก็ทรงครรภ์คือฟองไข่ไว้เป็นเวลานาน คือโดยกาลนานเพียงนั้น คือตลอดกาลมีประมาณเท่านั้น. เมื่อใดคือกาลใด เมฆฝนตกลงมาคือร้องครางโดยปการะชนิดต่างๆ แล้วตกลงมา คือหลั่งสายฝนตกลงมา เมื่อนั้นคือกาลนั้น นางนกยางทั้งหลายย่อมพ้นจากภาระคือการทรงครรภ์. อธิบายว่า ตกฟอง (ออกไข่).

อนึ่ง บรรดานกตระกรุมทั้งหลาย (นกยาง) ชื่อว่านกตระกรุมตัวผู้ย่อมไม่มี. นางนกตระกรุมเหล่านั้น ในเวลาที่ตนมีระดู ครั้นได้ฟังเสียงเมฆ (คำราม) แล้ว ย่อมตั้งครรภ์ ถึงแม่ไก่ทั้งหลายจะมากตัวก็ตาม ในกาลบางครั้ง ครั้นได้ฟังเสียงไก่ผู้ตัวเดียว (ขัน) ก็ย่อมตั้งครรภ์ได้. ถึงแม่โคทั้งหลาย ครั้นได้ฟังเสียงโคอุสภะ (โคตัวผู้) แล้ว ก็ย่อมตั้งครรภ์เหมือนอย่างนั้น. การตั้งครรภ์ย่อมมีได้เพราะเสียง ด้วยอาการอย่างนี้.

ซึ่งการตั้งครรภ์ตามรูปแบบที่ปรากฏนี้ ใกล้เคียงกับผลงานวิจัยหนึ่งซึ่งระบุว่า

มังกรโคโมโด(เพศเมีย)สามารถวางไข่ได้เอง แม้ไม่มีตัวผู้ผสมพันธุ์ ซึ่งการกำเนิดในลักษณะนี้เรียกว่า พาร์ธีโนเจเนซิส (Parthenogenesis) หรือการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ คือ การสืบพันธุ์ที่ไข่สามารถพัฒนาเป็นตัวอ่อน โดยไม่ต้องได้รับการผสมจากเชื้อตัวผู้ และการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศนี้พบได้บ่อยในสัตว์จำพวกแมลง เช่น เพลี้ยอ่อน ตั๊กแตนกิ่งไม้ ผึ้งบางชนิด แมลงสาบ แต่ในสัตว์มีกระดูกสันหลังเองก็สามารถพบได้ใน ปลา สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลาน แม้กระทั้งในสัตว์ปีกบางสายพันธุ์ เช่น ไก่งวง นกบางชนิด


 


 

๗.คันธนคัพภะ(Gandhanagabbha)[คนฺเธน คพฺภคฺคหณํ]-เกิดมีครรภ์ด้วยการที่สตรีสูดดมกลิ่น(คันธะ-กลิ่น)ที่มากระทบจมูก(ระบบประสาทรับกลิ่น) เป็นตัวกระตุ้น

อนึ่ง แม่โคทั้งหลายนั่นเอง ในกาลบางครั้ง ย่อมตั้งครรภ์ได้เพราะกลิ่นของโคตัวผู้, การตั้งครรภ์ ย่อมมีได้เพราะกลิ่น ด้วยอาการอย่างนี้.

(ในกรณีของสัตว์เดรัจฉาน คาดว่าเป็นการปรับตัวเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ให้อยู่รอดในสภาวการณ์วิกฤติที่ธรรมชาติสภาพแวดล้อมขาดแคลนเพศผู้อย่างรุนแรง เช่นเดียวกับ สัททคัพภะ ในข้อที่๖)

ข้อที่มีเครื่องหมาย"?" แปลว่ายังหาสิ่งเทียบเคียงไม่ได้ แต่คาดว่าครรภ์ตั้งแต่ข้อ๒-๗นี้ ในกรณีของมนุษย์ น่าจะเป็นการตั้งครรภ์ในระดับฤๅษีผู้มีฤทธิ์ที่ใช้อำนาจจิตอธิษฐานสังเคราะห์เอา เพราะมีเรื่องของกามมาเกี่ยวข้องน้อยมากๆ ทั้งฝ่ายชายและหญิงต้องมีฤทธิ์ทั้งคู่ ถึงอธิษฐานสื่อถึงกันได้


 


 

และที่สำคัญ มี ชลาพุชะสูตรใหญ่ ซึ่งเป็นรูปแบบของการคลอดที่ที่พิเศษ สูงกว่ามนุษย์ทั่วไป ซึ่งมีหลายกรณีด้วยกัน เช่น

 

    พระสีวลีเถระ

     ท่านอยู่ในครรภ์ของพระมารดาถึง ๗ปี (๗เดือน?) ๗วัน เมื่อคลอดออกมานั้นพัฒนาการของท่านได้สมบูรณ์ถ้วนเท่าเด็กอายุ๗ปี สามารถเจรจาปราศรัยได้ และได้บวชในวันที่คลอดนั้นเอง

    ท่านสีวลีนั้นตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลในขณะที่โกนผมปอยแรกที่เขาโกนแล้วนั่นเอง

    ขณะโกนปอยที่ ๒ ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล

    ในขณะโกนผมปอยที่ ๓ ตั้งอยู่ในอนาคามิผล

    ก็การโกนผมหมดและการกระทำให้แจ้งพระอรหัตได้มีไม่ก่อนไม่หลังกัน ตั้งแต่วันที่ท่านบวชแล้ว

 

    นั่นหมายถึง พระสีวลีได้บรรลุเป็นอรหันต์ตั้งแต่วันที่ท่านคลอด และวันที่ท่านบวช ซึ่งขณะนั้นท่านอยู่ในวัย ๗ ปี(ส่วนรูปสักการะแทนตัวท่านนั้น ควรสร้างเป็นเช่นไร ให้ไปคิดกันเอาเอง)

 

    พระทัพพมัลลปุตตเถระ

    พระทัพพเถระนี้ถือปฏิสนธิในเรือนของเจ้ามัลละองค์หนึ่งในอนุปิยนคร แคว้นมัลละ. มารดาของท่านคลอดลูกตาย (ตายทั้งกลม) คนทั้งหลายจึงนำเอาร่างที่ตายไปป่าช้า ยกขึ้นสู่เชิงตะกอนใส่ไฟแล้ว.

    เพราะกำลังความร้อนของไฟ ทำให้พื้นท้องของนางแยกออกเป็นสองส่วน. ทารกลอยขึ้นด้วยกำลังบุญของตนแล้วตกลงที่กองไม้ คนทั้งหลายจึงนำทารกนั้นมามอบให้ยาย. ผู้เป็นยาย เมื่อจะขนานนามของทารกนั้น ได้ตั้งชื่อว่าทัพพะ เพราะตกไปที่เสาไม้มีแก่น จึงรอดชีวิต.

    ก็ในวันที่ทารกนั้นมีอายุได้ ๗ ขวบ พระบรมศาสดามีภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จจาริกไปในแคว้นมัลละ ประทับอยู่ในอนุปิยัมพวัน. ทัพพกุมารเห็นพระศาสดาแล้ว เลื่อมใสด้วยการเห็นเท่านั้น ประสงค์จะบวชบอกลายายว่า ข้าพเจ้าจักบวชในสำนักของพระทศพล. ยายพูดว่า ดีแล้ว พ่อคุณแล้วพาทัพพกุมารไปยังสำนักของพระบรมศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงยังกุมารนี้ให้บรรพชาเถิด.

 

กล่าวคือ ท่านทัพพะได้คลอดออกมาขณะอยู่บนเชิงตะกอนตอนกำลังทำการฌาปนกิจพอดี

 

    ต้นตระกูลเจ้าลิจฉวี

    กล่าวกันว่า ก่อนสมัยพุทธกาล อัครมเหสีองค์หนึ่งของพระเจ้าพาราณสี แคว้นกาสี ให้ประสูติกาลเป็นชิ้นเนื้อ มีสีแดงประหลาดดุจผ้าย้อมด้วยน้ำคร่ำ(สีคล้ายดอกชบารึดอกหงอนไก่)(Birth[Deliver] To Flesh Ball) แต่ด้วยความกลัวว่าจะถูกติเตียนว่ามีบุตรผิดธรรมชาติ พระนางจึงให้นำชิ้นเนื้อใส่หม้อและให้ฝักฝ่ายข้างพระนางจึกในแผ่นทองสุวรรณปัฏว่า ชิ้นเนื้อนี้เป็นราชบุตรของพระอัครมเหสีและพระเจ้าพาราณสี แล้วจึงผูกหม้อเข้ากับหม้อแล้วมัดให้มั่นก่อนนำไปทิ้งลงกระแสน้ำ

    ดาบสผู้หนึ่งอยู่ริมแม่น้ำ(ไม่ปรากฏนาม) ดาบสผู้นี้ได้ตระกูลนายโคบาลปรนนิบัติและสร้างอาศรมให้อยู่ริมฝั่งมหาคงคา เช้าวันหนึ่งพระดาบสนั้นตื่นแต่เช้าลงไปในมหาคงคาเห็นภาชนะลอยน้ำมาจึงถือเอาด้วยบังสุกุลสัญญา เห็นแผ่นทองสุวรรณปัฏและก้อนมังสะภายในจึงเกิดสงสัยว่า สิ่งนี้ก็เป็นครรภ์อยู่แล้ว ทำไมจึงไม่เหม็น จึงเก็บชิ้นเนื้อนั้นขึ้นมานำไปยังอาศรม ไว้ในที่อันบริสุทธิ์ อยู่มาประมาณกึ่งเดือน(อายุประมาณ ๒ สัปดาห์ รึ ๑๔-๑๖ วัน โดยประมาณ) ชิ้นเนื้อนั้นก็แตกออกเป็น ๒ ชิ้น ดาบสนึกประหลาดใจจึงเก็บไว้ในที่ๆดียิ่งกว่าเก่า อยู่มาอีกประมาณกึ่งเดือน ก้อนเนื้อทั้ง๒ เริ่มแตกอกเป็นปัญจสาขา(มือ๒ เท้า๒ ศีรษะ๑) ดาบสนึกประหลาดใจจึงเก็บไว้ในที่ๆดียิ่งกว่านั้น ครั้นอีกประมาณกึ่งเดือนต่อมา ชิ้นเนื้อทั้ง ๒ กลายเป็นทารกชายคนหนึ่ง ทารกหญิงคนหนึ่ง น้ำนมสดก็ไหลออกจากนิ้วหัวแม่มือมือพระดาบสเพื่อเลี้ยงกุมารกุมารีทั้งสอง(น้ำนมนี้อธิษฐานให้เกิดได้ทั้ง สองฝ่าย คือ ฤๅษีเอง หรือฤๅษีสร้างให้ทารกเองก็ได้)

อนึ่ง ในโลกวรรณกรรมและแฟนตาซีสากล การที่มนุษย์กับปีศาจรึสัตว์ประหลาดซึ่งมีขนาดร่างกายแตกต่างผิดกันอย่างเห็นได้ชัดและมีลักษณะทางกายภาพแตกต่างกันแบบสุดโต่งจนไม่สามารถใช้วิธีการตามปกติเพื่อให้ตั้งครรภ์ได้ มีลูกด้วยกันได้อย่างไร เช่นกรณีมนุษย์กับมังกร ซึ่งเป็นการตั้งครรภ์กับต่างสายพันธุ์นี้ ก็น่าจะเกิดจากการตั้งครรภ์แบบ " อโลฉปานคัพภะ " เป็นอีกกรณีหนึ่งได้เช่นกัน

 

 

 

๓.สังเสทชะ(Samsedaja)-สังเสทชะ ต้องดูประวัติของพระนางอุบลวรรณาเถรี

ในชาติที่เป็นนางปทุมวดี กล่าวคือ

 

    ได้ยินว่า ในอดีตกาล เมื่อพระตถาคตยังไม่อุบัติขึ้น กุลธิดาผู้หนึ่งในหมู่บ้านแห่งหนึ่งชานเมืองพาราณสี เฝ้านาอยู่ ได้ถวายดอกบัวดอกหนึ่งกับข้าวตอก ๕๐๐ ดอกแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ตั้งความปรารถนาให้ได้บุตร ๕๐๐ คน. ก็พอดีขณะนั้น พรานล่าเนื้อ ๕๐๐ คนได้ถวายเนื้อ (ย่าง) อันอร่อยแล้วตั้งความปรารถนาว่า ขอให้พวกเราได้เป็นบุตรของนาง. นางดำรงตลอดกาลกำหนดชั่วอายุแล้วไปเกิดในเทวโลก จุติจากเทวโลกมาเกิดในกลีบดอกบัวในชาตสระ(สระที่มีอยู่เองโดยธรรมชาติ)แห่งหนึ่งใกล้เชิงเขาที่ดาบสองค์หนึ่งอาศัยเชิงเขาอยู่.  พระดาบสองค์หนึ่งไปสระแต่เช้าตรู่ เพื่อล้างหน้า เห็นดอกไม้นั้นแล้วก็คิดว่า ดอกนี้ใหญ่กว่าดอกอื่นๆ ดอกอื่นๆ บาน ดอกนี้ยังตูมอยู่ คงจะมีเหตุในดอกนั้น แล้วจึงลงน้ำ จับดอกนั้น. พอดาบสนั้นจับเท่านั้น มันก็บาน. ดาบสเห็นเด็กหญิงนอนอยู่ภายในห้องปทุม ได้ความสิเนหาดังธิดา นับแต่พบเข้า จึงนำไปบรรณศาลาพร้อมทั้งดอกปทุม ให้นอนบนเตียง. ขณะนั้นด้วยบุญญานุภาพของนาง น้ำนมก็บังเกิดที่นิ้วหัวแม่มือ. ดาบสนั้นเมื่อดอกปทุมนั้นเหี่ยวก็นำดอกปทุมดอกอื่นมาแทน ให้เด็กหญิงนั้นหลับนอน. นับตั้งแต่เด็กหญิงนั้นสามารถเล่นวิ่งมาวิ่งไปได้ ดอกปทุมก็ผุดทุกๆ ย่างก้าว. ผิวพรรณแห่งสรีระของนางเป็นเหมือนดอกบัวบก. เด็กหญิงนั้นยังไม่เจริญวัย ก็ล้ำผิวพรรณเทวดา ล้ำผิวพรรณมนุษย์. เมื่อบิดาไปแสวงหาผลาผล เด็กหญิงนั้นก็ถูกทิ้งไว้ที่บรรณศาลา. 

     เมื่อนางกำลังเที่ยวเล่นนั่นแหละ ดอกบัวทั้งหลายผุดขึ้นจากพื้นดินทุกๆ ย่างเท้า. อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อบิดาไปแสวงหาผลาผล พรานป่าคนหนึ่งพบเข้า จึงกราบทูลแด่พระเจ้าพาราณสี. พระราชาทรงนำนางนั้นมาแต่งตั้งให้เป็นอัครมเหสี.

 

    ระหว่างที่ทารกสังเสทชะอยู่ระหว่างระหว่างพัฒนาร่างกายในดอกบัวยักษ์นั้นจะได้รับอาหารชนิดหนึ่งซึ่งมีอยู่ในก้านดอกบัวยักษ์ในหิมพานต์นั้น ซึ่งอาหารนี้มีลักษณะเป็นสารอาหารเหลวคล้ายน้ำนมบริสุทธิ์ไหลอยู่ภายในก้านบัวเหมือนน้ำยาง น้ำนมนี้แล คือ อาหารของตัวอ่อนในดอกบัว ส่วนตัวทารกนั้นจะอยู่ในสภาวะจำศีลไปเรื่อยๆจนกว่าดอกบัวจะเปิดออก(รึอาจใกล้เคียงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า"กบในหิน")

 

และ นางเวฬุวดี เกิด จากต้นไผ่ อ้างอิงจาก พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๕ เรื่องกำเนิด ๔(รึต้นตำนานเจ้าหญิงคางุยะที่เกิดจากกระบอกไม้ไผ่จะเป็นนางเวฬุวดีนี่เอง?!?)

 

จริงๆแล้วสังเสทชะคล้ายการเกิดแบบโคลนนิ่งหรือเด็กหลอดแก้ว(อยู่นอกครรภ์) แบบเจ้าหญิงคางุยะของญี่ปุ่นที่เกิดในกระบอกไม้ไผ่ หรือนางในวรรณคดีไทยบางคนที่เกิดในดอกบัวและมีกลิ่นดอกบัวก็เพราะสังเคราะห์จากละอองเรณูของดอกบัว (โมโมทาโร่ เจ้าหญิงคางุยะ ธัมเบลิน่า ก็ใช่ เป็นพวกมนุษย์สังเสทชะ น่าจะเป็นนิทานที่ต่อยอดพัฒนาจากความรู้เรื่องสังเสทชะแบบดั้งเดิม ที่คนไทยทุกวันนี้"ไม่รู้จัก")

 

ถ้าเชื่อกันว่า สังเสทชะเกิดจากเถ้าไคล เถ้าไคลนั้นจะต้องไม่เป็นของสกปรก แต่เป็นเถ้าไคลของผู้มีฤๅษีผู้มีฤทธิ์และศีลบริสุทธิ์ เพราะกลิ่นของผู้มีศีลมีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ ฉะนั้นเถ้าไคลจากกายย่อมไม่เหม็นเด็ดขาด!!!

 

Atthanij Pokkasap คุรุ ปัทมสัมภวะ งัย...ปัทมะ=ดอกบัว สัมภวะ=การเกิด(สมภพ..ภาวะที่ถึงพร้อมแล้วทำให้มี ให้เป็น)เป็นที่มาของ มณีมนตรา.."โอม มณี ปัทเม ฮุมม์

 

กำเนิดจากดอกบัว มีชื่อเรียกเฉพาะว่า ปัทมสัมภวะ

 

ฉะนั้น หากให้เรียงลำดับการเกิด จะได้ ๓ ระดับ คือ

 

๑.ระดับสูง - สังเคราะห์เกิดบ่มภายในดอกไม้ เช่น ธัมเบลิน่า พระนางปทุมวดี และ สังเคราะห์เกิดบ่มอยู่ภายในผลไม้ หรือ ภายในช่องว่าง(ปล้อง)ของต้นไม้ เนื่องจากธาตุหยาบขึ้นจึงต้องใช้สถานที่รองรับการสังเคราะห์ร่างกายที่แน่นหนาขึ้น และต้องกินเวลานานขึ้นกว่าจะมีร่างสมบูรณ์ คือ สังเคราะห์ตั้งแต่เป็นดอกไม้จนถึงเวลาที่ผลไม้สุกจนหล่น เช่น โมโมทาโร่ เจ้าหญิงคางุยะ)

 

โดยต้นไม้ ดอกไม้ และผลไม้ ที่ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตสังเสทชะได้นี้ จะต้องมีขนาดใหญ่เพราะต้องพอเป็นที่อาศัยของทารกแรกเกิดได้ และเมื่อต้นไม้ ดอไม้ และผลไม้ที่มีขนาดใหญ่ได้ที่เหล่านี้รับเอาแสงอาทิตย์แสงจันทร์รวมอากาศธาตุตามฤดูต่างๆเป็นเวลานานจนเกิดเป็นคราบไคลขึ้นที่ภายใน และคราบไคลนั้นก็จะค่อยๆกลายสภาพก่อกำเนิดเกิดเป็นรูปชีวิตของทารกสังเสทชะ

 

อนึ่ง ในมนุษย์ที่เกิดแบบสังเสทชะทั้งระดับสูงและระดับกลางซึ่งมีการเกิดเกี่ยวพันกับต้นพืชนี้ น่าจะมีร่างกายที่อุดมด้วยธาตุและพลังงานชนิดพิเศษซึ่งสามรถสังเคราะห์และกระตุ้นพืชพันธุ์ให้เติบโตอย่างฉับพลันได้ เพราะพบในบางตำนานว่า เมื่อมนุษย์สังเสทชะเหล่านี้ตาย จะมีพืชพรรณธัญญาหารนานาชนิดงอกขึ้นจากซากศพแทบจะทันทีที่ตาย จนกลายเป็น๑ในสาขาตำนานต้นแบบการบูชายัญมนุษย์เพื่อความอุดมสมบูรณ์ในหลายอารยธรรมโบราณทั่วโลก

(๑ในนั้นคือ ตำนานของไฮนูเวเล[Hainuwele] สตรีผู้กำเนิดในดอกมะพร้าว)


 

นอกจากซากศพของมนุษย์ที่เกิดแบบสังเสทชะระดับกลางซึ่งถูกฝังในดินจะก่อปฏิกิริยากับพืชพันธุ์เหนือผิวดินจนทำให้เกิดวิวัฒน์เป็นพืชกินเมล็ดและพืชกินหัวอย่างต้นข้าวและหัวมันนานาชนิดแล้ว ยังมีความเป็นไปได้ว่า ของเหลวในร่างชาวสังเสทชะเอง เช่น เลือดและน้ำตา ก็น่าจะมีคุณสมบัติดุจเดียวกันแต่มีฤทธิ์เจือจางกว่า จึงทำให้เกิดการวิวัฒน์กลายพันธุ์เป็นดอกไม้นานาชนิดที่มีความสวยงามโดดเด่น รวมถึงไม้ผลเล็กๆน้อยๆแทน และกลายเป็นต้นกำเนิดของตำนานกำเนิดไม้ดอกไม้ผลของหลายอารยธรรม ซึ่งขอยกมาเป็นตัวอย่างโดยย่อ ดังนี้

 

ตำนานดอกอโดนิส[adonis] หรือ ดอกอะนิโมนิ[anemone]

 

  • เกิดจากหยาดโลหิตของอโดนิสเมื่อสิ้นชีพ

ตำนานดอกกุหลาบ

 

- เกิดจากเลือดของอโฟรไดท์หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม

 

  • น้ำตาของอโฟรไดท์หยดลงผสมกับเลือดของอคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้ม คือ ดอกกุหลาบ
  • ฯลฯ

(นอกจากนี้ยังมีตำนานที่เล่าว่า เดิมทีดอกกุหลาบมีเพียงสีขาว กระทั่งนกไนติงเกลตัวหนึ่งมาหลงรักเจ้าดอกกุหลาบขาวแสนสวย ขณะที่มันกำลังจะโอบกอดดอกกุหลาบด้วยความรักนั้นเอง หนามกุหลาบก็ทิ่มแทงที่หน้าอกของมัน หยดเลือดของเจ้านกไนติงเกลเลยทำให้ดอกกุหลาบสีขาวกลายเป็นสีแดง)

 

ตำนานผลหม่อนมีสีแดงดังเลือด

 

  • เดิมที ต้นหม่อนมีผลสีขาวเหมือนไข่มุก แต่เมื่อ พิรมัส[pyramus]เข้าใจผิดว่าธิสบี[thisbe]หญิงคนรักของตนตกเป็นเหยื่อของสิงโตไปแล้ว จึงชักมีดแทงตัวตายด้วยความเศร้าเสียใจ ครั้นธิสบีย้อนมาหาคนรัก ณ จุดนัด พบร่างของพิรมัสนอนสิ้นใจอยู่นางก็แทงตัวตายตาม ศพของสองหนุ่มสาวผู้บูชาความรักแต่ขาดสติไตร่ตรองนอนอยู่เคียงข้างกัน ณ ใต้ต้นหม่อน ซึ่งบัดนี้ผลของมันซึ่งเคยขาวราวไข่มุก ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนับแต่นั้นมา
     

ตำนานดอกลิลลี่

  • เกิดจากน้ำนมของเทพีเฮร่าซึ่งไหลออกมาระหว่างที่นางเหาะหนีกลับโอลิมปัส เมื่อครั้งที่ซูสนำทารกเฮอร์คิวลิสมากินนมของนางยามหลับ

ตำนานดอกบัวสีเหลือง

  • ตามตำนานของอินเดียนแดงเผ่าดาโกต้า ดอกบัวเหลืองคือวิญญาณของนางฟ้าซึ่งยอมทิ้งสวรรค์ลงมาเป็นภรรยาของหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ทั้งคู่ครองรักกันอย่างมีความสุขจนกระทั่งมีลูกชายด้วยกันคนหนึ่งจนเมื่อลูกชายโตขึ้น หัวหน้าเผ่าจึงส่งลูกชายพร้อมภรรยานั่งเรือคานูข้ามทะเลสาบไปขอคำปรึกษาจากผู้รู้ว่าลูกชายคนนี้สมควรจะได้เป็นหัวหน้าเผ่าต่อจากพ่อหรือเปล่า แต่ระหว่างทางเรือได้ชนเข้ากับโขดหินนางฟ้าจึงตกลงไปในน้ำแล้วหายสาบสูญไป แต่รุ่งเช้าบริเวณโขดหินนั้นก็มีดอกไม้สีเหลืองงามสดใสเกิดขึ้นมาแทน ซึ่งก็คือ ดอกบัวเหลืองดังกล่าว

 

ฯลฯ

 

๒.ระดับกลาง - สังเคราะห์เกิดจากเถ้าเหงื่อไคลผู้มีศีลบริสุทธิ์และมีฤทธิ์ เช่น ตำนานกำเนิดเทพต่างๆของพราหมณ์ที่ว่าเกิดจากการปั้นขึ้นจากเหงื่อไคลของมหาเทพเทวี ซึ่งอาจรวมถึงตำนานการปั้นมนุษย์ขึ้นจากดินแล้วใส่ลมหายใจเข้าไปของอียิปต์และบางศาสนาด้วย)

 

๓.ระดับล่าง -  สังเคราะห์เกิดจากร่างต้น อย่างกรณีที่ชิ้นเนื้อเกิดแบ่งตัวออกมาเป็น ๒ ส่วนในตำนานกำเนิดต้นตระกูลเจ้าลิจฉวีนั้นก็ใช่ รึจะเรียกว่าเป็นการ การแบ่งภาค ก็น่าจะได้ แต่จะเป็นการแบ่งภาคออกมาในรูปของทารกก่อน ไม่ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในทันทีที่เกิดเลย

 

 

*สังเสทชะทั้ง ๓ ระดับนี้ มีจุดร่วมเดียวกันคือ การเกิดจากสิ่งละเอียดและมีกลิ่นหอม คือ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้ และกลิ่นผู้มีตบะศีลบริสุทธิ์ ฉะนั้น มนุษย์สังเสทชะจึงมีกลิ่นกายที่หอม เพราะถือกำเนิดขึ้นจากสิ่งที่มีกลิ่นหอมและบริสุทธิ์

 

**จากกำเนิดแบบชลาพุชะและสังเสทชะนี้ เราได้เชื่อมโยงต่อไปถึงกำเนิดนาจาด้วย เพราะ นาจาอยู่ในครรภ์มานานกว่า ๓ปี ๖เดือน(แบบกำเนิดพระสีวลี) ก่อนคลอดออกมาเป็นก้อนเนื้อกลิ้งไปกลิ้งมา(แบบกำเนิดต้นตระกูลเจ้าลิจฉวี) แม่ทัพหลี่จิ้งว่าอยู่แล้วว่าต้องเป็นปีศาจจึงใช้หอกเข้าแทงและฝ่้าก้อนเนื้อนั้นและมีเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักออกมาจากก้อนเนื้อนั้น

 

และในการเกิดครั้งที่๒ นาจาได้ร่างใหม่จากบัว โดยนำส่วนประกอบต่างๆของบัว เช่น

- ฝักบัว เป็น กระดูก

- รากบัว เป็น เนื้อ

- ใยบัว เป็น เส้นเอ็น

- ใบบัว เป็น เสื้อผ้า

(โดยนัยยะเกิดจากบัวนี้เอง คือ สังเสทชะผสมหุ่นพยนตร์เล็กน้อย)


 

***โอรสทั้ง ๕๐๐ พระองค์ของ พระนางปทุมวดี


 

พระราชาทรงนำนางนั้นมาแต่งตั้งให้เป็นอัครมเหสี. พระนางทรงครรภ์. มหาปทุมกุมารอยู่ในพระครรภ์พระมารดา ส่วนกุมารนอกนั้นอาศัยครรภ์มลทินอุบัติขึ้น. กุมารเหล่านั้นเจริญวัย ได้เล่นในสระบัวในอุทยาน นั่งที่ดอกบัวคนละดอก เริ่มตั้งความสิ้นและความเสื่อม ทำปัจเจกโพธิญาณให้เกิดขึ้น. คาถาพยากรณ์ของท่านได้มีดังนี้ว่า

ดอกบัวในกอบัวเกิดขึ้นในสระบานแล้ว ถูกหมู่แมลงภู่เคล้าคลึงก็เข้าถึงความร่วงโรย

บุคคลรู้แจ้งข้อนี้แล้ว พึงเป็นผู้เดียวเที่ยวไปเหมือนนอแรด

จากนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นได้อยู่ในภูเขานั้นมาแต่กาลครั้งนั้น. และแต่ครั้งนั้นมา ภูเขานั้นจึงได้เกิดชื่อว่า อิสิคิลิ.

กำเนิดกุมารทั้ง๔๙๙ นี้เป็นการเกิดแบบสังเสทชะ ในขณะที่โอรสองค์โตกำเนิดจากครรภ์มารดา ทารกทั้ง๔๙๙ที่เหลือ อาจคล้ายกับกำเนิดต้นตระกูลเจ้าลิจฉวีทั้ง ๒ พระองค์ที่เป็นชลาพุชะดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว คือ คลอดออกมาเป็นกุมาร๑(ซึ่งเป็นชลาพุชะ) และส่วนครรภ์มลทินนั้นเมื่ออกจากครรภ์แล้วถึงได้แตกตัวจนนับได้ ๔๙๙ ส่วน ก่อนที่แต่ละส่วนจะเริ่มเกิดปัญจสาขาขึ้นมาเป็นของตนเองทั้งหมด

 

๔.โอปปาติกะ(Opapatika)-ได้แก่นางอัมพปาลี ที่ผุดกำเนิดขึ้นมาจากต้นมะม่วง รูปแบบทั่วไปน่าจะคล้ายกับสังเสทชะแต่ต่างกันตรงที่โอปปาติกะเกิดแล้วเป็นหนุ่มสาวในทันที แต่สังเสทชะเกิดมาเป็นทารกก่อน ดังนั้นกำเนิดแบบโอปปาติกะจึงน่าจะครอบคลุมถึงการกำเนิดเทพและมนุษย์ที่กำเนิดจากธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ โคลนตม แผ่นดิน ธาตุทั้ง๔ ฯลฯ และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในทันที การเกิดแบบนี้มีตัวอย่างอยู่ในเทวตำนานหลายชนชาติ อย่างของกรีก ก็มีการแบ่งภาคเกิดออกจากร่างเทพเช่นกัน คือ ตำนานการกำเนิดของเทพีอเธน่าซึ่งบางแห่งที่ระบุว่า นางถูกแบ่งภาคออกมาทางศีรษะของมหาเทพซูส ส่วนเทพไดโอนิซัสก็มีตำนานบางแห่งระบุว่าแบ่งภาคออกมาจากหัวเข่าของมหาเทพซูสเช่นกัน รึในตำนานของชาวนอร์ส ที่มียักษ์ถือกำเนิดขึ้นมาจากเหงื่อของยักษ์อีเมอร์(Ymir) จะเรียกว่าเป็นการแบ่งภาคกำเนิดด้วยการกระโดดออกมาจากร่างของผู้ให้กำเนิดเองก็น่าจะได้

 

หากสรุปการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่ยุคต้นปฐมกัปอย่างคร่าวๆ จะได้ความว่า

หลังเหตุการณ์มหายุคที่เหล่าอาภัสสรพรหมสร้างอาหารชนิดต่างๆขึ้นมาบริโภคจนเริ่มเกิดเป็นแผ่นดินผืนโลกขึ้นและได้วิวัฒน์ตนเองลงมาเป็นมนุษย์แล้ว มนุษย์(และรวมถึงสัตว์เดรัจฉานอื่นๆด้วย)ในช่วงยุคปฐมกัปนั้นยังคงถือกำเนิดกันด้วยวิธีโอปปาติกะเป็นปกติ

แต่เมื่ออาหารที่พวกตนเนรมิตสร้างขึ้นมาบริโภคมีความหยาบมากขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์ในรุ่นถัดมาจึงเริ่มถือกำเนิดในแบบสังเสทชะแทน ซึ่งการเกิดแบบสังเสทชะนี้มีความสมบูรณ์น้อยกว่าแบบโอปปาติกะ กายหยาบของสิ่งมีชีวิตที่เกิดแบบสังเสทชะจึงอยู่ในรูปทารกแทนที่จะเป็นร่างสมบูรณ์เต็มวัยอย่างพวกโอปปาติกะ โดยช่วงแรกมนุษย์สังเสทชะอาศัยเกิดตามพืชพันธุ์ที่มีอยู่ในธรรมชาติ แต่เมื่อธรรมชาติทวีความหยาบมากขึ้นอีกจนพืชพันธุ์ส่วนใหญ่ไม่อาจใช้เป็นแหล่งผลิตสร้างกายหยาบให้ตนเองได้ มนุษย์สังเสทชะจึงต้องไปอาศัยเถ้าไคลจากร่างกายของพวกมนุษย์ด้วยกันที่ยังคงมีความละเอียดสูงอยู่เป็นสารตั้งต้นในการสร้างกายหยาบขึ้น แต่ต่อมาร่างกายของพวกมนุษย์ก็เริ่มหยาบมากขึ้นจนแม้แต่เถ้าไคลจากเรือนร่างก็กลายเป็นของหยาบเกินไปจนไม่อาจใช้เป็นแหล่งกำเนิดได้ สิ่งมีชีวิตจึงได้พยายามหาหนทางกำเนิดจนได้เป็นการการสังเสทชะโดยแบ่งภาคออกมาจากร่างของมนุษย์ด้วยกันเอง(จากการถือกำเนิดจากธรรมชาติค่อยๆแคบลงมาเป็นการถือกำเนิดจากร่างของมนุษย์ด้วยกัน)

แต่เมื่อร่างกายมนุษย์มีความหยาบเกินไปจนไม่อาจใช้แบ่งภาคได้อีก จึงมีการวิวัฒน์วงจรกำเนิดชนิดใหม่ขึ้นมาอีกภายในครรภ์ของมนุษย์เพศหญิง ซึ่งเพศนั้นเริ่มปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งแรกในยุคที่มนุษย์บริโภคข้าวสาลีตามธรรมชาติ กลายเป็นการกำเนิดแบบชลาพุชะขึ้น

 

ขณะที่สัตว์เดรัจฉานบางกลุ่มนั้นไม่อาจกำเนิดในครรภ์ได้เพียงอย่างเดียว จึงได้มีวงจรที่เรียกว่า อัณฑชะ คือ การเกิดจากไข่ รึที่สำนวนตามพระไตรปิฎกเรียกว่า ทวิชาติ คือ พวกที่เกิด ๒ หน ขึ้นมารองรับการกำเนิดของพวกตนนั่นเอง

 

 

ประเภท: บันทึก, อื่นๆ

บล็อกที่น่าจะชอบ

16/05/2017
เฮลโหลเวิลด์โอฮาโยะโกไซมาส คอนนิจิวะ คมบังวะ โอยาสุมินาไซ เลือกเอาเลยค่ะ แอดไม่รู้ว่าแต่ละคนจะเข้ามาอ่านช่วงไหน งั้นสวัสดีทุกช่วงเวลาพร้อมกู๊ดไนท์เลยแล้วกัน 555555 วันนี้แอดมัวแต่นั่งส่องแฟนอาร์ตวิคเตอร์จากเรื่อง Yuri!!! On Ice เพลิน จนคิดว่าทำไมผู้ชายผมส
30/10/2017
    หลายๆคงคงต้องใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการเดินทาง ไปเรียนบ้าง ทำงานบ้าง หรือไม่ก็ไปเที่ยว แต่ก็รู้ๆกันว่าบางครั้งการเดินทางมันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ไหนจะรถติด รอรถก็นาน คนก็เยอะ เบียดกันอย่างกับปลากระป๋องอัดแน่น กว่าจะถึงที่หมาย ผมที่นั่งทำมาตั้งน
30/11/2015
พอดีเพิ่งได้ปากกามาร์คเกอร์ใหม่มา เป็นของแบรนด์ Superior Touch Brush ค่ะ เลยจะมาขอรีวิวสักหน่อย ตอนแรกไม่รู้ว่า Superior มีออกสินค้าใหม่ตัวนี้ด้วย(หรืออาจจะมีมานานแล้ว แต่เราเพิ่งเคยเห็นก็ไม่รู้ แหะๆ) ต้องบอกว่าเป็นความบังเอิญค่ะ เราไปเจอปากกาตัวนี้ที่ร้า
24/04/2017
คนเรามีความชอบแตกต่างกันไป แต่อย่างนึงที่แอดรู้ว่าใครๆก็ชอบ (โดยเฉพาะสาวๆ) คือ “หนุ่มแว่น” ไม่ว่าจะเป็นตัวร้ายหรือฝั่งพระเอก ยังไงหนุ่มแว่นก็มีเสน่ห์เหลือเกิน ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่แว่นกลายมาเป็นจุดสำคัญในการบริหารเสน่ห์ บางคนลุคปกติก็เฉยๆนะ แต่พอใส่แว่น
ส่ง
ความคิดเห็น ()