วิบากกรรมของผู้มีบุพการีและคู่ครองเป็นยักษ์
วันที่โพสต์: 30/03/2016

จาก วิบากกรรมของผู้มีบุพการีและคู่ครองเป็นยักษ์

เริ่มจาก ลูกบุญธรรมก่อน ไม่ว่าจะนางเมรีพระสังข์ทอง ฯลฯ บุคคลเหล่านี้ล้วนมีแม่บุญธรรมเป็นยักษ์ทั้งสิ้นตามสันดานยักษ์นั้นมีนิสัยชอบแย่งชิงฉกฉวยชอบสิ่งใดก็หยิบเลยไม่เคยและไม่จำเป็นต้องขอ เช่น นางเมรีนี่นางสันธมารีก็ขโมยเขามาเลี้ยง พระสังข์เองนางพันธุรัตก็เก็บได้พวกนางยักษ์ชอบเก็บเด็กมาเลี้ยงแก้เหงาโดยไม่สนใจว่าเด็กจะคิดยังไงนางยักษ์คิดว่าแค่อยากได้แต่มักไม่คิดถึงความพร้อมในการเลี้ยงดูจึงมักมีปัญหากับเด็ก


นางยักษ์ส่วนใหญ่เกือบ๑๐๐%ที่มีลูกบุญธรรมจะไม่มีสามี(เพราะไม่มีใครเอา) แต่อยากมีลูกจึงเที่ยวเก็บไปเรื่อยสุดท้ายพอมีปัญหาก็แก้ไม่เป็น แต่เลือกตัดปัญหาโดยการจำกัดเขตลูกไม่ให้ออกไปเที่ยวเล่น และไม่ให้อิสระเด็กเพราะธรรมชาตินิสัยยักษ์มักหวงสิ่งที่ตัวเองครอบครองดูแล ชอบเก็บไว้ดูคนเดียวบางครั้งอาจขังลูกไว้บนหอคอยรึไม่ก็ส่งไปอยู่ที่อื่นให้พ้นหูพ้นตาตนเอง(ถึงรำคาญแค่ไหนก็ยังหวงไม่ยอมปล่อยอยู่ดี)


ประวัตินางเมรี

◉ จะกล่าวถึงบรมพรหมทัต                 ผ่านสมบัติจำปากบูรีศรี

แสนสุดสุขกระเษมเปรมปรีดิ์                ในจำปากบูรีพระนคร

เกศินีที่เป็นอัครชายา                          ก็ประสูติธิดาสายสมร

รูปโฉมโนมพรรณนางบังอร                  อรชรจิ้มลิ้มพริ้มพักตรา

แต่อายุหกเดือนกับเจ็ดวัน                    นางจอมขวัญแสนโสมนัสสา

รักใคร่ในบุตรสุดปัญญา                       ดังดวงตาของชนกชนนี

ทั้งพี่เลี้ยงนางนมก็พรั่งพร้อม                ห้อมล้อมถนอมเลี้ยงนางโฉมศรี

จัดแจงอู่ทองล้วนของดี                       ให้มารศรีบรรทมสำราญใจ

พระพี่เลี้ยงนางนมคอยเห่ช้า                 จวนเวลาก็มาพร้อมล้อมไสว

เห่กล่อมแซ่เสียงสำเนียงไป                 อยู่ในห้องแก้วแพรวพรรณ

เมื่อจะเกิดเหตุเภทภัยพาล                   ให้บันดาลให้สงัดเงียบทั้งไอศวรรย์

พลบค่ำสนธยาสายัณห์                       พวกรักษาหน้าที่นั้นก็กองไฟ

นายประตูผู้รักษาพระทวาร                   ก็ลั่นดาลแน่นหนาหาช้าไม่

บ้างตีฆ้องกองเกณฑ์ตระเวนไป             รอบในนคเรศเขตธานี ฯ


◉ จะกล่าวถึงนนทา[1]สุรามาร              เข้าแอบอยู่ที่ชานบุรีศรี

พอพลบค่ำสนธยาราตรี                       อสุรีแอบย่องไปมองดู

คิดแล้วร่ายมนต์อันศักดิ์สิทธิ์                 สะกดจิตโยธาทุกหมวดหมู่

ให้รี้พลล้อมวังนั่งประตู                        มิให้รู้สึกสมประดี

ก็ค่อยย่องเข้าไปในปราสาท                 องอาจดุจนางราชสีห์

ร่ายเวทวิเศษประสิทธี                         ทวาราวดีประสาทนาง

ก็แย้มชักสลักหลุดผลุดเผลาะ               สะเดาะห้องหอรีและหอขวาง

ประทีปแจ้งแสงส่องทุกห้องนาง             แจ่มกระจ่างดังว่าทิวาวัน

นางมารทัศนาในปราสาท                     โอภาสเครื่องแต่งแสงฉัน

เตียงตั้งแท่นแก้วแพรวพรรณ                ล้วนสุวรรณเลขาศิลาพราย

นางสนมสมบูรณ์จำรูญโฉม                   งามประโลมล้ำเลิศเฉิดฉาย

อสุรียลยิ้มพริ้มพราย                           แล้วผันผายเข้าในห้องกระษัตรา

เห็นอู่ทองรองนางกุมารี                       มีพี่เลี้ยงทั้งสี่อยู่ซ้ายขวา

นางก็เร่งพิศวงด้วยสงกา                      เข้ามาแลดูอยู่ช้านาน

เห็นบุตรีกรุงกระษัตริย์สุริยวงศ์               ประทมในอู่ทรงน่าสงสาร

พักตรากายาเยาวมาลย์                       เปรียบปานทองแท่งธรรมดา

นางยิ่งดูไปใจยิ่งรัก                            วรพักตร์ดังเทพเลขา

แล้วโอบอุ้มจุมพิตพระธิดา                   ขึ้นไว้แอบอุราอสุรี

ก็บังเกิดน้ำนมพรมหยด                       ปรากฏจากถันของยักษี

ด้วยกุศลหนหลังกุมารี                         เคยเป็นบุตรีสุนนทา

กุมารีอ้าอมนมเสวย                            ดื่มเลยมิได้คลายโอษฐา

กรกำขยำนมอสุรา                              นางมารจินตนาด้วยยินดี

รักเหมือนธิดานั้นมาเกิด                      กำเนิดจากครรภ์ของยักษี

คำนึงในฤทัยอสุรี                               กูนี้จะพาพระธิดา

ไปเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม์                  ครอบครองเขตขันธ์ด้วยหรรษา

ทั้งโภไคยไอศูรย์สวรรยา                     กูมรณาจะได้สืบสุริย์วงศ์

จึ่งร่างสารศุภลักษณ์เป็นอักษร              โดยสุนทรเรื่องความตามประสงค์

หวังจะให้กรุงกระษัตริย์สุรีวงศ์               ที่เป็นองค์ชนกชนนี

ในลักษณ์นั้นว่าสุทามาร[2]                   เป็นปิ่นผ่านทานตะวันบุรีศรี

อย่าให้บิตุรงค์ทรงโศกี                         ทุกข์ทวีเทวษเศร้าถึงลูกยา

เราไร้ภัสดาและบุตรี                            จะขอไปไว้เป็นที่เสน่หา

ทั้งโภไคยไอศูรย์สวรรยา                      จะมอบให้ธิดาทั้งธานี

ครั้นจารึกราชสารลงลานแล้ว                  นางมารผ่องแผ้วกระเษมศรี

แขวนไว้ที่อู่ทองมณี                             อสุรีอุ้มนางเหาะไปพารา

ลอยคว้างมากลางเวหาหน                     สุริยนแจ่มแจ้งพระเวหา

เชยชมมาพลางกลางเมฆา                     ดุจกาคาบแก้วกระพือบิน

คว้างคว้างมากลางเวหาหาว                   ก็ถึงด้าวแดนมารสถานถิ่น

เหาะลงปรางค์ปราในธานินทร์                 ก็ลินลาศเข้าสู่ปราสาทไชย ฯ


◉ จะกล่าวถึงพี่เลี้ยงทั้งสี่                     ซึ่งรักษาบุตรีในกรุงใหญ่

ครั้นรุ่งแสงสุริโยอโณทัย                      แลไปไม่เห็นพระบุตรี

ต่างตระหนกอกสั่นขวัญหาย                 วุ่นวายบอกกันอยู่อึงมี่

ว่าองค์พระราชกุมารี                           ประทมอยู่ในที่พระอู่ทอง

หายไปไม่เห็นเหตุไฉน                        ต่างต่างตกใจให้หม่นหมอง

บ้างข้อนทรวงโศกาน้ำตานอง               ทั้งกลัวตัวจะต้องพระอาชญา

สาวสนมกำนัลทุกหมวดหมู่                  ค้นคว้าหาดูเป็นหนักหนา

ทุกห้องหับสับสนเที่ยวค้นคว้า               บ้างบ่นว่าน่าอัศจรรย์ใจ

บ้างก็ว่าถ้าไม่ได้พระบุตรี                     เห็นชีวีเรานี้จะตักษัย

บ้างบนบานศาลกล่าวกันวุ่นไป              ถวายพวงมาลัยสักสิบพวง

แล้วแยกย้ายรายกันเที่ยวค้นคว้า            ทุกห้องหับกัลยาพวกข้าหลวง

ไม่พานพบบุตรีธิดาดวง                       บ้างข้อนทรวงมาทูลพระชนนี

ว่าองค์พระธิดาดวงใจ                         ประทมในอู่ทองผ่องศรี

หายไปในราษราตรี                             เมื่อใกล้ศรีสุริโยอโณทัย ฯ


◉ ปางองค์อัคเรศเกษณี                      แจ้งคดีกัมปนาทหวาดหวั่นไหว

ดังพระกาลผลาญชีพให้บรรลัย              มาเด็ดเอาดวงใจไปจากองค์

ทั้งพระจอมจำปากกรุงกระษัตริย์            แจ้งอรรถแล้วรำพึงตะลึงหลง

เหตุไฉนใครหนอช่างตัวยง                   มาลักองค์พระธิดากูพาไป

จะว่าเป็นศัตรูมาดูถูก                          ลักลูกเช่นนี้หามีไม่

จึ่งชวนเหล่าสาวสรรกำนัลใน                 มาจะลงไปดูให้รู้การ

ตรัสพลางทางเสด็จจรลี                       กับองค์มเหสียอดสงสาร

ครั้นเข้าใกล้แลไปเห็นใบลาน                ก็ยื่นหัตถ์หยิบมาอ่านด้วยทันใด

ครั้นประจักษ์เรื่องสารในอักษร               นรินทรเสื่อมคลายหายสงสัย

แล้วออกข้างหน้าหาโหรมาทันใด           ภูวไนยจึ่งแจ้งแห่งเหตุการณ์

แล้วซักถามโหราพฤฒาเฒ่า                  ว่าลูกเราหายไปไกลสถาน

อันสาราจารึกในใบลาน                        ว่าขานเท็จหรือจริงยังกริ่งใจ

จงทายทักให้ประจักษ์ตามรู้เห็น              ว่าตายเป็นจงแจ้งแถลงไข

ฝ่ายโหรกราบก้มบังคมไท                     เข้าใจจับกระดานมาหารคูณ

เอาปุตตะมาบวกด้วยชันษา                    เอาสามมาบวกเหตุเป็นเศษศูนย์

ที่ชันษาพระธิดานั้นสมบูรณ์                    ราศีร่วมเค้ามูลกับชะตา

เหตุด้วยพระเสาร์มาเล็งลัคน์                   แจ้งประจักษ์แล้วหมอหัวร่อร่า

จึ่งกราบทูลความตามตำรา                     พระอาชญาสุดแต่จะโปรดปราน

นี่หากว่าพระธิดามารับเคราะห์                 ดังสะเดาะทุกข์โศกจากสถาน

ถ้าหาไม่ก็จะได้ความรำคาญ                   พระภูบาลจะต้องไปจากพารา

หญิงกาลกิณีมาต้องมูล                        จะอาดูรด้วยหญิงมารสา

บุตรนั้นเป็นศรีทับจรมา                         ร่วมราศีกันทันนาที

นางมารจึ่งได้เห็นแต่พระหน่อ                ถ้าเห็นพ่อสุนนทาจะพาหนี

ลูกหายทายว่าพระเคราะห์ดี                  พระภูมีอย่าทรงพระอาลัย

แต่ชันษาพระธิดานั้นดีนัก                     จะมีศักดิ์สมปองครองมไห

จะเลื่องชื่อลือตระหลบภพไตร               แจ้งพระทัยอย่าได้ทรงวิตกเลย

มเหสีฟังโหรมาทายทัก                        ไม่ประจักษ์ถามโหรว่าตาเอ๋ย

ลูกหายทายว่าดีข้ามิเคย                       กรรมเอ๋ยไม่เคยฟังเลยอย่างนี้

หมอทูลตามสนองให้ต้องกิจ                  มันลักผิดไปดอกนะพระโฉมศรี

ถ้าลักถูกก็จะพาพระสามี                       เกิดกุลีวุ่นวายทั้งเวียงไชย

ไพร่บ้านพลเมืองจะเคืองแค้น                 พระแม่เจ้าก็จะแสนกระมลไหม้

อย่าเศร้าสร้อยโศกาให้อาลัย                  จงหักใจเสียเถิดพระทรงธรรม์

สองพระองค์ทรงฟังตาโหรเฒ่า               ที่โศกเศร้าเสื่อมหายคลายกระศัลย์

พระราชทานเงินทองของรางวัล              แพรพรรณเสื้อผ้าให้อาจารย์

เถลิงศกปีใหม่เกษณี                            ก็ประสูติบุตรีเมื่อปีขาล

งามพริ้งยอดสุดาพารามาลย์                  เหมือนนงคราญโฉมฉายที่หายไป

จึ่งให้นามตามวงศ์พระมารดา                 ชื่อเกษณีแก้วผกาอันผ่องใส

แสนถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้              สำราญใจกระเษมสุขอยู่ในวัง ฯ


◉ จะกล่าวถึงสุนนทาอสุรี                    ถึงปราสาทแล้วมีบัญชาสั่ง

ให้ชาวแม่และสนมกรมวัง                    อีกทั้งชาวสะดึงที่ตัวดี

ชาวพระคลังวิเสทข้างฝ่ายใน               ให้ไปเบิกโขมพัสตร์อันรังสี

เย็บยี่ภู่ทรงองค์เทวี                            สำหรับที่ลูกหลวงจะบรรทม

ให้ช่างทองกรองอู่สุวรรณมาศ               งามประหลาดด้วยมณีล้วนศรีสม

พระพี่เลี้ยงขอเฝ้าแลเจ้ากรม                นางนมขับกล่อมพร้อมมากมี

ฟักฟูมอุ้มเสวยให้บรรทม                     เชยชมพระธิดามารศรี

ขนานนามกัลยาว่าเมรี                        จำเริญศรีวัฒนาสถาพร

ชันษาเจ็ดปีมีศักดิ์                             สารพัดรู้หลักเขียนอักษร

สุนนทาเชยชิดสนิทนอน                     ไม่เจียรจรไปจากพระธิดา

ยามเสวยกระยาหารทุกเช้าค่ำ               เสวยน้ำเมรัยด้วยหรรษา

ดังดวงใจของนางสุนนทา                    สุดแสนเสน่หาพันทวี ฯ




เด็กพวกนี้เป็นเด็กมีปัญหาแน่นอนถ้าเป็นลูกสาวมักหนีตามผู้ชายโดยทันทีเพราะคิดว่าให้ความอบอุ่นและดูแลดีกว่าพ่อแม่เลี้ยงที่เป็นยักษ์(กลุ่มนางสิบสองหนีกันเองเพราะกลัวโดนลูกหลงโมโหหิวของนางสันธมารี!และเพราะไม่ได้อยู่กับนางสันธมารีตั้งแต่จำความไม่ได้แบบนางเมรีจึงไม่ชินกับความโหดร้ายในแบบยักษ์)


ต่อไปกลุ่มที่มีพ่อรึแม่จริงตามกรรมพันธุ์เป็นยักษ์ ในกลุ่มนี้ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ สินสมุทร สินสมุทรมีแม่บังเกิดเกล้าเป็นยักษ์ซึ่งธรรมดาเด็กผู้ชายมักติดแม่มากกว่าพ่อแต่สินสมุทรติดพระอภัยมณีมากกว่านางผีเสื้อสมุทร ดั่งกลอนตอนหนึ่งในเรื่องพระอภัยมณีความว่า


   ฝ่ายกุมารสินสมุทรสุดสวาท    ไม่ห่างบาทบิดาอัชฌาสัย

ความรักพ่อกว่าแม่มาแต่ไร     ด้วย"มิได้ขู่เข็ญเช่นมารดา"


สินสมุทรติดพ่อด้วยความกลัวแม่!(ถ้ามีพ่อเป็นยักษ์เด็กผู้ชายจะยิ่งติดแม่ และอาจเกลียดพ่อ) กระทั่งตอนวางแผนหนี สินสมุทรก็ยังลังเลใจดั่งตอนที่ว่า


   สินสมุทรสุดแสนสงสารแม่    ด้วยรู้แน่ว่าบิดาจะพาหนี

ให้ห่วงหลังกังวลด้วยชนนี     เจ้าโศกีกราบก้มบังคมคัล


ลูกแท้ต่างกับลูกบุญธรรมตรงนี้!ลูกเลี้ยงอยากหนีเมื่อไหร่ก็ไปเลยไม่มีกังวลไม่มีห่วงเพราะไม่เกี่ยวพันกันทางสายเลือดอยู่แล้ว ในขณะที่ลูกแท้ๆขนาดพ่อจะพาหนียังกังวลห่วงแม่นี่คือความค้านกันของสามัญสำนึกในตัวเด็กที่บางครั้งอธิบายให้ใครฟังไม่ถูกการที่คนๆหนึ่งที่มีบุพการีเป็นยักษ์จะทำอะไรสักอย่างจึงลำบากมากการหนีออกจากบ้านจึงไม่ใช่สิ่งที่เด็กเหล่านี้จะกะเกณฑ์รึตัดสินใจเองได้(โปรดเข้าใจความสับสนในใจของเด็กเหล่านี้ด้วยมันมีทั้งความกลัว กังวล ห่วง อาลัย ฯลฯ หลายอย่างปะปนกันจนน่ารำคาญ)

แต่ในที่สุดนางผีเสื้อฯก็แสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมที่จะเป็นแม่คนอย่างชัดเจนตอนที่ไล่ตามพระอภัยฯที่อยู่ระหว่างหนีสินสมุทรจึงเข้าถ่วงเวลา ความว่า


    สินสมุทรหยุดอยู่ดูนางยักษ์     เห็นผิดพักตร์มารดาน่าสงสัย

ด้วยเห็นแม่แต่รูปนิมิตไว้     สงสัยใจออกขวางกลางคงคา

แล้วร้องถามตามประสาเป็นทารก     นี่สัตว์บกหรือสัตว์น้ำดำหนักหนา

โจนกระโจมโครมครามตามเรามา     จะเล่นข้าท่าไรจะใคร่รู้

    ฝ่ายนางอสุรีผีเสื้อน้า     ได้ยินคำโอรสานึกอดสู

เป็นห่วงผัวมัวแลชะแง้ดู     ไม่เห็นอยู่ด้วยกันนี่ฉันใด

หรือจวนตัวกลัวเมียไปเสียก่อน     หรือซุ่มซ่อนอยู่เกาะละเมาะไหน

จำจะปลอบโดยดีแม้นมิไป     จึงจะได้จับกุมตะลุมบอน

จึงตอบโต้โป้ปดโอรสราช     มิใช่ชาติยักษ์มารชาญสมร

เจ้าแปลกหรือคือนี่แลมารดร     เมื่อนั่งนอนอยู่ในถ้ำไม่จำแลง

ออกเดินทางอย่างนี้ต้องนิมิต     รูปจึงผิดไปกว่าเก่าเจ้าจึงแหนง

ไม่ผิดบังอำพรางอย่าคลางแคลง     แม่แกล้งแปลงตัวตามเจ้างามมา

ไหนพ่อเจ้าเล่าแม่ไม่แลเห็น     อย่าหลงเล่นจงไปอยู่ในคูหา

แต่จากอกหกวันแล้วขวัญตา     ขอมารดาอุ้มหน่อยเถิดกลอยใจ

    สินสมุทรฟังเสียงสำเนียงแน่    รู้ว่าแม่มั่นคงไม่สงสัย

ดูรูปร่างอย่างเปรตสมเพชใจ     ช่างกระไรราศีไม่มีงาม

กระนี้หรือพระบิดามิน่าหนี     ทั้งท่วงทีไม่สุภาพทำหยาบหยาม

จำจะบอกหลอกลวงหน่วงเนื้อความ     อย่าให้ตามเข้าไปชิดพระบิดา

จึงเสแสร้งแกล้งว่าข้าไม่เชื่อ     จะฉีกเนื้อกินเล่นเป็นภักษา

ถ้าเป็นแม่แน่กระนั้นจงกรุณา     อย่าตามมามุ่งหมายให้วายปราณ

ด้วยองค์พระชนนีเป็นผีเสื้อ     อันชาติเชื้ออยู่ถ้ำลำละหาน

พระบิดรร้อนรนทนทรมาน     เคยอยู่บ้านเมืองมนุษย์สุดสบาย

คิดถึงวงศ์พงศาคณาญาติ     จึงสามารถมานี่ไม่หนีหาย

เห็นมารดาซ่อนตัวด้วยกลัวตาย     ลูกจึงว่ายน้ำอยู่แต่ผู้เดียว

ประทานโทษโปรดปล่อยไปหน่อยเถิด     ที่ละเมิดแม่คุณอย่าฉุนเฉียว

ลูกขอลาฝ่าธุลีสักปีเดียว     ไปท่องเที่ยวหาประเทศเขตนคร

แม้นพบอาย่าปู่อยู่เป็นสุข     บรรเทาทุกข์ภิญโญสโมสร

จึงจะชวนบิตุเรศเสด็จจร     มาสถานมารดรไม่นอนใจ

    อสุรีผีเสื้อไม่เชื่อถ้อย    นึกว่าน้อยหรือตอแหลมาแก้ไข

แกล้งดับเดือดเงือดงดอดฤทัย     ทำปราศรัยเสียงหวานด้วยมารยา

ถ้าแม้นแม่แต่แรกรู้กระนี้     ชนนีก็จะได้ไม่เที่ยวหา

นี่นึกแหนงแคลงความจึงตามมา     ไม่โกรธาทูนหัวอย่ากลัวเลย

จะไปไหนไม่ห้ามจะตามส่ง     ไหนทรงฤทธิ์บิตุรงค์เล่าลูถเอ๋ย

แม่ขอพบพูดจาประสาเคย     แล้วทรามเชยจึงค่อยพาบิดาไป

    สินสมุทรสุดฉลาดไม่อาจบอก    ยังซ้ำหลอกลวงแม่พูดแก้ไข

มิใช่การมารดาจะคลาไคล     ขอเชิญไปอยู่ในถ้ำให้สำราญ

ซึ่งจะให้ไปบอกออกมาหา     พระบิดาขี้ขลาดไม่อาจหาญ

พระแม่อย่าทารกรรมให้รำคาญ     ไม่ช้านานบิตุรงค์คงจะมา

    อสุรีผีเสื้อเหลือจะอด    แค้นโอรสราวกับไฟไหม้มังสา

ช่างหลอกหลอนผ่อนผันจำนรรจา     แม้นจะว่าโดยดีเห็นมิฟัง

จะจับไว้ให้พาไปหาพ่อ     แล้วหักคอเสียให้ตาอเมื่อภายหลัง

โกรธตวาดผาดเสียงสำเนียงดัง     น้อยหรือยังโหยกเหยกเด็กเกเร

ช่างว่ากล่าวราวกับกูไม่รู้เท่า     มาพูดเอาเปรียบผู้ใหญ่ทำไพล่เผล

เอาบิดรซ่อนไว้ในทะเล     ทำโว้เว้ว่ากล่าวให้ยาความ

ยิ่งปลอบโยนโอนอ่อนยิ่งหลอนหลอก     แม้นไม่บอกโดยดีจะตีถาม

พลางโผโผนโจนโจมเสียงโครมคราม     เข้าไล่ตามคลุกคลีตีไปพลาง

สินสมุทรผลุดออกนอกรักแร้     แล้วล่อแม่ตบหัตถ์ผัดผางผาง

แกล้งหลบลี้หนีวนไปต้นทาง     หมายให้ห่างพระบิดาได้คลาไคล ฯลฯ


พอได้เห็นธาตุแท้แม่ตนเอง บวกกับสันดานถ่อยสินสมุทรถึงกับหมดศรัทธาในตัวแม่ทันที! สภาพแม่ตัวเองไม่ต่างกับเปรตไม่มีราศีเหมือนตอนอยู่ด้วยกัน นางผีเสื้อฯยังจะโกหกหน้าด้านๆว่าตัวจริงสวย!สันดานนางก็ขี้ระแวง ลูกตัวเองยังไม่เชื่อธรรมดาถึงรูปอัปลักษ์แต่ยักษ์กับมนุษย์ก็พอคุยกันได้ แต่มักจบไม่สวยอย่างกรณีนางพันธุรัตกับพระสังข์ทอง นางพันธุรัตเย็นพอที่จะคุยกันรู้เรื่องตอนพระสังข์หนีนางพันธุรัตตามไปจนสุดเขตนาง ไม่ๆสามารถออกจากเขตได้แต่นางก็ไม่อาละวาด แค่อยากขอให้พระสังข์กลับไปอยู่กับนางตามเดิมแต่พระสังข์ตอบคำเดียวว่า ไม่ เพราะอยากตามหาพ่อแม่(อีกอย่างพระสังข์กลัวว่านางจะกักขังตัวไม่ยอมปล่อยเพราะตอนที่นางเคยทิ้งพระสังข์ออกไปหากิน พระสังข์แอบออกไปจุ่มบ่อทองพอนางรู้จึงไม่ยอมออกหากินตั้งหลายวัน)


แต่นางพันธุรัตยอมรับการสูญเสียพระสังข์ไม่ได้จนร่างกายรับสภาพจิตใจไม่ไหวจึงรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย เขียนจินดามนตร์ทิ้งไว้ให้พระสังข์เรียนก่อนนางจะตาย(ถ้าเป็นกรณีคนรักมันก็ปวดใจนะTT^TT)แต่นางผีเสื้อฯไม่เหมือนนางพันธุรัต รูปชั่วใจก็ชั่วแกล้งทำใจดีได้ไม่นานก็อาละวาด ขู่ฆ่าลูกตัวเอง ตอนนี้เองเราเดาว่าสินสมุทรได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะหนีเพราะความอดทนได้หมดไปตั้งแต่แรกเห็นสันดานแม่ตนเองแล้วลูกแท้ๆที่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะหนีออกจากบ้านคือลูกที่อดทนถึงขีดสุดแล้วดูง่ายๆ ตอนสินสมุทรดักขวางแม่ นางผีเสื้อฯไม่ทักทายซักคำมัวแต่ชะเง้อหาผัวลูกอยู่ตรงหน้าแท้ๆไม่สนใจ แล้วยังมิหน้ามาถามลูกอีกนะว่าพ่ออยู่ไหนแค่นี้หนูสินฯก็รู้แล้วว่าแม่ไม่ห่วงลูกเลย(ห่วงแต่ผัว!)

ต่อไป ตัวอย่างผู้มีคู่ครองเป็นยักษ์


เหมือนกับการหาลูกเลี้ยง คือ เก็บมาไม่ก็ขโมยมามนุษย์ที่เป็นคู่ครองของยักษ์ไม่ว่าชายรึหญิงจึงมักไม่มีความสุข แม้ว่ายักษ์จะเอาใจใส่แค่ไหนเนื่องจากกลัวว่าวันดีคืนดีเกิดคลุ้มคลั่งมาจากที่อื่นแล้วจะมาอาละวาดใส่รึเกิดโมโหหิวแล้วหน้ามืดจับกินส่วนใหญ่ที่อยู่ด้วยกันได้ก็เพราะทนๆเอาและไม่มีทางหนี ไม่มีที่ไป เช่นนางเกสรสุมณฑาที่ถูกท้าวกุมภัณฑ์ลักไปอยู่เมืองอโนราชที่เป็นเมืองร้างทั้งเมืองมีแค่๒คน คือ ท้าวกุมภัณฑ์กับนางเกสรสุมณฑาเท่านั้น(ท่านท้าวนี่ก็แปลกอยู่กินกับนางเกสรฯจนมีลูกสาวชื่อนางศรีสุพรรณวันหนึ่งท้าวเธอไปลงไปเล่นพนันสกากับพระยานาคแล้วก็แพ้ซะหลายกระดาน(สงสัยพระยานาคจะมีวิชาเดียวกะเฉินเก๋าจิ้ง คนตัดเซียน!)ท้าวท่านขัดใจเลยท้าเพิ่มเดิมพันขึ้นเรื่อยๆจนถึงขั้นพนันเอาบ้านเมืองแล้วก็แพ้พระยานาคจึงขอธิดาเป็นสินไถ่บ้านเมืองท่านท้าวจึงจำใจยกลูกให้ไปเป็นมเหสีพระยานาคในเมืองบาดาล) และก็พระอภัยฯตามเคยครั้งแรกที่นางผีเสื้อฯพบ(ลัก)พระอภัยฯนั้น ท้องเรื่องว่าดังนี้


จะกล่าวถึงอสุรีผีเสื้อน้ำ      อยู่ท้องถ้ำวังวนชลสาย

ได้เป็นใหญ่ในพวกปิศาจพราย      สกนธ์กายโตใหญ่เท่าไอยรา

ตะวันเย็นขึ้นมาเล่นทะเลกว้าง      เที่ยวอยู่กลางวารินกินมัจฉา

ฉวยฉนากลากฟัดกัดกุมภา      เป็นภักษานางมารสำราญใจ

แล้วแล่นน้ำดำโดดโลดทะลึ่ง      เสียงโผงผึงเผ่นโผนโจนไถล

เข้าใกล้ฝั่งวังวลข้างต้นไทร      พอนางได้ยินเสียงสำเนียงดัง

วิเวกแว่ววังเวงด้วยเพลงปี่      ป่วนฤดีดาลดิ้นถวิลหวัง

เสน่หาอาวรณ์อ่อนกำลัง      เข้าเกยฝั่งหาดทรายสบายใจ

แล้วลุกขึ้นเท้าแขนแหงนชะแง้      ชำเลืองแลหลากจิตคิดสงสัย

เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมใจ      นั่งเป่าปี่อยู่ใต้พระไทรทอง

ทั้งทรวดทรงองค์เอวก็อ้อนแอ้น      เป็นหนุ่มแน่นน่าชมประสมสอง

ถ้าแม้นได้กันกับกูเป็นคู่ครอง      จะประคองกอดแอบไว้แนบเนื้อ

น้อยหรือแก้มซ้ายขวาก็น่าจูบ      ช่างสมรูปนี่กระไรวิไลเหลือ

ทั้งลมปากเป่าปี่ไม่มีเครือ      นางผีเสื้อตาดูทั้งหูฟัง

ยิ่งปั่นป่วนรวนเรเสน่ห์รัก      สุดจะหักวิญญาณ์เหมือนบ้าหลัง

อุตลุดผุดทะลึ่งขึ้นตึงตัง      โดยกำลังโลดโผนโจนกระโจม

ชุลมุนหมุนกลมดังลมพัด      กอดกระหวัดอุ้มองค์พระทรงโฉม

กลับกระโดดลงน้ำเสียงต้ำโครม      กระทุ่มโถมถีบดำไปถ้ำทอง

ครั้นถึงแท่นผาศิลาลาด      แสนสวาทเปรมปรีดิ์ไม่มีสอง

ค่อยวางองค์ลงบนเตียงเคียงประคอง      ทำกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยยินดี ฯ


๏ แสนสงสารพระอภัยใจจะขาด      กลัวอำนาจนางยักขินีศรี

สลบล้มมิได้สมประฤๅดี      อยู่บนที่แผ่นผาศิลาลาย ฯ


๏ อสุรีผีเสื้อแสนสวาท      เห็นภูวนาถนิ่งไปก็ใจหาย

เออพ่อคุณทูนหัวผัวข้าตาย      ราพณ์ร้ายลูบต้องประคององค์

เห็นอุ่นอยู่รู้ว่าสลบหลับ      ยังไม่ดับชนม์ชีพเป็นผุยผง

พ่อทูนหัวกลัวน้องนี้มั่นคง      ด้วยรูปทรงอัปลักษณ์เป็นยักษ์มาร

จำจะแสร้งแปลงร่างเป็นนางมนุษย์      ให้ผาดผุดทรวดทรงส่งสัณฐาน

เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมลาน      จะเกี้ยวพานรักใคร่ดังใจจง

แล้วอ่านเวทเพศยักษ์ก็สูญหาย      สกนธ์กายดังกินนรนวลหง

เอาธารามาชโลมพระโฉมยง      เข้าแอบองค์นวดฟั้นคั้นประคองฯ


๏ พระพลิกฟื้นตื่นสมประดีได้      ในฤทัยหมกมุ่นให้ขุ่นหมอง

แลเขม้นเห็นนางนวลละออง      เคียงประคองอยู่บนแท่นแผ่นศิลา

นิ่งพินิจพิศดูรู้ว่ายักษ์      ด้วยแววจักษุหายทั้งซ้ายขวา

ยิ่งชิงชังคั่งแค้นแน่นอุรา      จะใคร่ด่าให้ระยำด้วยคำพาล

แล้วคิดกลับดับเดือดให้เหือดหาย      จึงอุบายวิงวอนด้วยอ่อนหวาน

นี่แน่นางอสุรีขินีมาร      ไม่ต้องการที่จะแกล้งมาแปลงกาย

จะขอถามตามตรงจงประจักษ์      เจ้าเป็นยักษ์อยู่ในวนชลสาย

อันตัวเราเป็นมนุษย์บุรุษชาย      เจ้าคิดร้ายลักพาเอามาไย

เข้าอิงแอบแนบข้างอยู่อย่างนี้      หรือว่ามีข้อประสงค์ที่ตรงไหน

มนุษย์ยักษ์รักกันด้วยอันใด      ผิดวิสัยที่จะอยู่เป็นคู่ควร ฯ


๏ อสุรีผีเสื้อสดับเสียง      เพราะสำเนียงเสนาะในฤทัยหวน

ทำเสแสร้งใส่จริตกระบิดกระบวน      ละมุนม้วนเมียงหมอบแล้วยอบตัว

อันน้องนี้ไร้คู่ที่สู่สม      เป็นสาวพรหมจารีไม่มีผัว

ถึงเป็นยักษ์ยังไม่มีราคีมัว      พระมากลัวผู้หญิงด้วยสิ่งใด

แม่เจ้าเอ๋ยคิดมาน่าหัวร่อ      เห็นเขาง้อแล้วยิ่งว่าไม่ปราศรัย

พลางแกล้งทำสะบัดสะบิ้งทิ้งสไบ      ร้อนเหมือนใจจะขาดประหลาดนัก

แล้วแกล้งทำสำออยพูดอ้อยอิ่ง      เข้าแอบอิงเอนทับลงกับตัก

ยิ่งถอยหนีก็ยิ่งตามด้วยความรัก      ยิ่งพลิกผลักก็ยิ่งแอบแนบอุรา ฯ 


๏ พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต      มิได้คิดอินังชังน้ำหน้า

ถีบจนพลัดจากแท่นแผ่นศิลา      แล้วเดือดด่าว่าอีกาลีลาม

เขาเบือนเบื่อเหลือเกลียดขี้เกียจตอบ      ยังขืนปลอบปลุกปล้ำอีส่ำสาม

ทำแสนแง่แสนงอนฉะอ้อนความ      แพศยาบ้ากามกวนอารมณ์

ถึงมาตรแม้นม้วยมุดสุดชีวาตม์      อย่าหมายมาดว่ากูจะสู่สม

สัญชาติยักษ์ไม่สมัครสมาคม      แล้วทุดถ่มน้ำลายไม่ใยดี ฯ 


๏ อีนางยักษ์กลับปลอบไม่ตอบโกรธ      พระจงโปรดเกล้าน้องอย่าหมองศรี

ข้าหมายเหมือนภัสดาถึงด่าตี      ก็ตามทีเถิดเมียไม่เสียใจ

จนผู้หญิงอิงแอบแนบถนอม      กระไรหม่อมจะตั้งปึ่งไปถึงไหน

ช่างไม่คิดขวยเก้อเอออะไร      ทำบ้าใบ้เบือนหนีไปทีเดียว

มาร่วมเรียงเคียงข้างอยู่อย่างนี้      ยังว่ามีน้ำใจจะไม่เกี่ยว

น่าอดสูผู้หญิงเสียจริงเจียว      พลางกลมเกลียวกอดรัดกษัตรา ฯ


๏ พระเหวี่ยงวัดขัดใจมิให้ต้อง      จนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยสองพระหัตถา

มันดื้อด้านทานทนพ้นปัญญา      จึงแกล้งว่าวิงวอนให้อ่อนใจ

อะไรเจ้าเฝ้ากวนกันจู้จี้      ข้าจะหนีหน่ายนางไปข้างไหน

ขอพักนอนเสียสักหน่อยถอยออกไป      สบายใจจึงค่อยมาพูดจากัน

แล้วเอนองค์ลงบนแท่นแสนระทด      โศกกำสรดซบทรงกันแสงศัลย์

โอ้สงสารป่านฉะนี้ศรีสุวรรณ      อยู่ด้วยกันหลัดหลัดมาพลัดพราย

พอตื่นขึ้นยามเย็นไม่เห็นพี่      จะโศกีโหยหาน่าใจหาย

ได้เห็นแต่เจ้าพราหมณ์ทั้งสามนาย      เขาผันผายลับตาจะอาวรณ์

นิจจาเอ๋ยเคยเห็นกันพี่น้อง      มาเที่ยวท่องบุกเดินเนินสิงขร

อียักษ์ลักพี่ลงมาในสาคร      จะทุกข์ร้อนว้าเหว่อยู่เอกา

พระนึกนึกแล้วสะอึกสะอื้นไห้      ชลเนตรหลั่งไหลทั้งซ้ายขวา

ซบพระพักตร์อยู่บนแท่นแผ่นศิลา      ทรงโศกากำสรดระทดใจ ฯ


๏ อีนางยักษ์ฟังสะอื้นค่อยชื่นจิต      สำคัญคิดแว่วว่าพระปราศรัย

เข้าอิงแอบแนบองค์พระทรงชัย      เห็นเธอไม่ผินผันจำนรรจา

คิดว่าหลับกลับปลุกขึ้นโลมลูบ      ประจงจูบปรางซ้ายแล้วย้ายขวา

ค่อยยกหัตถ์ภูวนาถพาดอุรา      ในกามาปั่นป่วนให้ยวนยี

เห็นทรงศักดิ์ผลักพลิกทำหยิกเย้า      มาลูบคลำทำเขาแล้วเบือนหนี

จะกอดไว้ไม่วางเหมือนอย่างนี้      แค้นนักหนาฟ้าผี่เถอะดื้อดึง ฯ


๏ พระแค้นคำซ้ำด่าอีหน้าด้าน      ใครจะร่านเหมือนเช่นนี้ไม่มีถึง

น่าอดสูกูได้ทำไมมึง      มาเคล้าคลึงโลมลูบจูบผู้ชาย

ทั้งเหม็นสาบเหม็นสางเหมือนอย่างศพ      ไม่น่าคบน่ารักยักษ์ฉิบหาย

มายั่วเย้าเฝ้าเบียดเกลียดจะตาย      ไม่มีอายมีเจ็บเท่าเล็บมือ ฯ


๏ อีนางยักษ์ควักค้อนแล้วย้อนว่า      ส่วนร่ำด่ากระนั้นได้เขาไม่ถือ

ทีขอจูบแต่พอถูกจมูกครือ      ยิ่งอึงอื้อบ่นว่าเป็นน่าชัง

เมื่ออยู่สองต่อสองในห้องหับ      จะบังคับมิให้ใครกลุ้มใจมั่ง

ถึงโกรธขึ้งอย่างไรก็ไม่ฟัง      พลางเข้านั่งแอบข้างไม่ห่างกาย ฯ


๏ พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต      เป็นสุดคิดสุดที่จะหนีหาย

ให้อักอ่วนป่วนใจไม่สบาย      มันกอดกายเซ้าซี้พิรี้พิไร

จะยั่งยืนขืนขัดตัดสวาท      ไม่สังวาสเชยชิดพิสมัย

ก็จะสะบักสะบอมตรอมฤทัย      ต้องแข็งใจกินเกลือด้วยเหลือทน

จึงบัญชาว่านี่แน่นางยักษ์      จะร่วมรักกันก็เห็นไม่เป็นผล

อันเชื้อชาติอสุรินทร์ย่อมกินคน      มาแปดปนเป็นมิตรเราคิดกลัว

ไปข้างหน้าถ้าเคืองน้ำใจเจ้า      จะกินเราเสียไม่คิดว่าเป็นผัว

แม้นให้สัตย์ปฏิญาณสาบานตัว      ให้หายกลัวแล้วจะอยู่เป็นคู่ครอง ฯ


๏ อียักษ์ฟังดังได้ผ่านวิมานสวรรค์      เกษมสันต์นบนอบตอบสนอง

แม้นเคลือบแคลงแหนงในพระทัยปอง      จงฟังน้องจะให้สัตย์ปฏิญาณ

แม้นโว้เว้เนรคุณพระทูนหัว      อันเป็นผัวเพื่อนรักสมัครสมาน

ขอทุกเทพเทวัญจงบันดาล      ประหารผลาญชีวาตม์ให้ขาดรอน

จนสุดสิ้นดินฟ้าสุธาทวีป      ไม่สิ้นชีพก็ไม่เสื่อมสโมสร

พอให้สัตย์เสร็จคำทำฉะอ้อน      ระทวยอ่อนเอนทับลงกับเพลา ฯ


๏ พระฟังคำจำจิตพิศวาส      ฝืนอารมณ์สมพาสทั้งโศกเศร้า

การโลกีย์ดีชั่วย่อมมัวเมา      เหมือนอดข้าวกินมันกันเสบียง

เกิดกุลาคว้าว่าวปักเป้าติด      กระแซะชิดขากบกระทบเหนียง

กุลาส่ายย้ายหนีตีแก้เอียง      ปักเป้าเหวี่ยงยักแผละกระแซะชิด

กุลาโคลงไม่สู้คล่องกระพล่องกระแพล่ง      ปักเป้าแทงแต่ละทีไม่มีผิด

จะแก้ไขก็ไม่หลุดสุดความคิด      ประกบติดตกผางลงกลางดิน

สมพาสยักษ์รักร่วมภิรมย์สม      เหมือนเด็ดดอกหญ้าดมพอได้กลิ่น

เป็นวิสัยในภพธรนินทร์      ไม่สุดสิ้นเสน่ห์ประเวณี ฯ


๏ นางผีเสื้อเมื่อได้ประสมสอง      ดังจะล่องลอยฟ้าในราศี

ประคองคอยปรนนิบัติเข้าพัดวี      อยู่ข้างที่แผ่นผาศิลาลาย

ครั้นรุ่งรางนางไปในไพรสณฑ์      เที่ยวเก็บผลพฤกษา

มาถวายจะนั่งนอนผ่อนตามความสบาย      นิมิตกายรูปร่างสำอางตา ฯ


นี่กระมังที่เรียกว่า อยากมีผัวจนตัวสั่นลงทุนยกเครื่องใหม่จนงามหยดปานกินรีแต่กิริยาต่ำช้าเที่ยวกระแซะผู้ชายนั่งนวดเฟ้นเอาใจแถมรีบออกตัวว่าบริสุทธิ์ไม่มีผัว ใส่จริตจก้านเกินจริง(แรด!) ขนาดถูกพระอภัยฯถีบจนตกแท่นแถมด่าซ้ำก็ยังไม่โกรธ(พระอภัยฯนี่ปากจัดเหมือนกันเนาะ)เพราะพระอภัยตอนนั้นก็เป็นแค่ลูกไก่ในกำมือหนีไปไหนไม่ได้ คืบก็ทะเลศอกก็ทะเลนี่ถ้าไม่ได้สินสมุทรลากเงือกมาคุยกันจนวางแผนหนีได้สงสัยมีหวังพระอภัยฯอยู่กับนางผีเสื้อฯจนแก่ไม่ก็ตายกันไปข้าง


แต่ผู้ที่มีพ่อแม่เป็นยักษ์ก็ยังดีกว่าเด็กที่มีพ่อแม่เป็นอสูรเพราะมันทั้งดำมืด หดหู่ เต็มไปด้วยความหวาดระแวง และสะพรึงกลัว คาดเดาไม่ได้พ่อแม่อสูรนั้นเป็นประเภทเวลาดีก็ดีจนน่าใจหาย(ช่วงกินบุญเก่า)เวลาร้ายก็ร้ายจนแทบลืมหายใจ(ช่วงดอกจิตปาฏลีบาน)ลูกอสูรมักมีสภาพอารมณ์และจิตใจไม่ปกติ(เด็กในทฤษฎีแม่เหล็ก)หนีไม่ไหว(อาการหนักกว่าสินสมุทร) สุดท้ายก็ถูกกลืนด้วยสันดานอสูร๗ประการ


ในกลุ่มที่ปลงตกรับสภาพได้มักจะอยู่เงียบๆไม่ค่อยมีปากเสียง อยู่กับสิ่งที่ตนเองสนใจ วงสังคมแคบโลกส่วนตัวสูง สังคมโดดเดี่ยวและโดดเดี่ยวตนเอง ดั่งตัวอย่าง เช่นประหลาทกุมารบุตรของพระยาอสูรหิรัญกศิปุ(ที่ทำประกันกับพระศิวะนั่นแหละ)กุมารท่านนี้พยายามที่จะไม่สนใจวิถีอสูรพยายามเดินไปตามทางของตนเองโดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อนประหลาทกุมารมีความชอบพระนารายณ์เป็นการส่วนตัว จึงขวนขวายในการบูชาพระนารายณ์วันๆถือศีลภาวนาอยู่สันโดษตัวพ่อมันกลับเห็นเป็นเรื่องรำคาญหูรำคาญตา(ตัวเองบูชาพระศิวะ)น่าจะเป็นเพราะเคยพยายามบังคับให้ลูกบูชาพระศิวะเหมือนตนเอง(พ่อแม่ที่พยายามบังคับให้ลูกเป็นเหมือนตนเองรึทำตามที่ตนเองต้องการโดยไม่สนความรู้สึกของลูกแล้วหวังจะให้ลูกรักนั้นอย่าหวังเลยถ้าลูกมันเป็นอสูรใส่อย่าบอกว่ามันเลี้ยงไม่เชื่องก็แล้วกันเพราะความอดทนมัธถึงขีดสุดแล้ว ถ้าฆ่ากันตายโทษแค่ลูกไม่ได้นะแต่ประหลาทกุมารมีความอดทนและเป็นตัวของตัวเองมากพอ จึงไม่เคยมีปัญหากับพ่อ)วันดีคืนดีเกิดเห็นลูกที่ไม่เคยได้ดั่งใจของตนเองเป็นเสี้ยนตำตีน ทำอะไรก็รำคาญตาเลยโวยวายใส่อยากรู้ว่ามันบูชานารายณ์แล้วได้อะไรพระนารายณ์เลยฉลองศรัทธาโดยอวตารลงมาเป็นมนุษย์หน้าสิงห์(สิงหาวตาร?) ทำลายวงประกันของหิรัญกศิปุจนสิ้นไป


สงสารแต่ประหลาทกุมารที่เกิดมามีพ่อแบบนี้อยู่เฉยๆอย่างสงบแท้ๆยังถูก"พ่อแท้ๆบังเกิดเกล้าหาเรื่อง!"


โชคดีที่ประหลาทกุมารไม่เลวตามพ่อความอดทนไม่สูญเปล่าจริงๆ


ประหลาทกุมารซวยมาแล้วTT^TTลูกอสูรที่คุมสติไม่ดีก็คือพวกเด็กที่ถูกเลี้ยงโดย"ทฤษฎีแม่เหล็ก"


มีข้อสังเกตว่านางผีเสื้อฯนี่เหลี่ยมเยอะ คือตอนอยู่บนเกาะแก้วฯ นางผีเสื้อฯวนเวียนรอบเกาะอยู่ดีๆก็เกิดอยากมอบจินดามนตร์ให้สินสมุทรจึงเรียกสินสมุทรให้ออกไปรับมนตร์แต่สินฯเองคงยังกลัวแม่อยู่เพราะถูกแม่ตีแขนแทบหัก เลยไม่ไปตรงนี้แหละที่เราว่าเป็นเหลี่ยมนางผีเสื้อฯ เพราะจินดามนตร์น่ะเขาเอาไว้ใช้สั่งเสียก่อนตาย! แบบนางพันธุรัตโน่นกะจับลูกเป็นตัวประกันต่อรองกับพระอภัยฯละสิ เรามองออกหรอกน่า รู้ทันด้วย

แต่ตามปกติพวกผีเสื้อน้ำ(รากษส)ถึงจะมีลูกก็ไม่ค่อยรักหรอกครับตำราเก่าๆบอกว่าพวกนี้กินลูกตัวเองด้วย!(สินสมุทรอดมาได้ตั้ง๘ปี โคตรโชคดีจริงๆสงสัยนางผีเสื้อฯเกรงใจพระอภัยฯเลยปล่อยไว้เป็นเพื่อนพระอภัยฯ)ที่เรียกแม่ทิ้งลูกกะตบตีทำร้ายลูกว่า แม่ใจยักษ์นั่นถ้าให้ถูกจริงๆก็คือพวกรากษสี(รากษสหญิง)ครับ


และนี่คือ สิ่งที่เหล่ายักษ์ที่เป็นบุพการีไม่มีต่อบุตร

    เมื่อพิจารณาจากกรณีของพระอภัยมณีและสินสมุทรแล้ว การกล่าวว่า บุคคลที่๓ไม่ควรยุ่งเรื่องภายในครอบครัวของคนอื่นนั้น เห็นจะไม่ถูกนัก เพราะหากพระอภัยมณีและสินสมุทรไม่ได้พระเจ้าตาแห่งเกาะแก้วพิสดารยื่นมือเข้าช่วยเหลือไว้ เหตุการณ์ก็อาจเลวร้ายเกินใครจะคิดถึงได้ ดังนั้น บุคคลที่๓สามารถยื่นมือเข้าช่วยแก้ไขปัญหาของครอบครัวคนอื่นได้ แต่บุคคลที่๓นั้นก็ต้องมีอำนาจและความสามารถในการยุติปัญหาได้จริงเช่นกัน

บล็อกที่น่าจะชอบ

22/01/2017
ถ้าพูดถึงการ์ตูนอมตะที่ครองใจแฟนๆในอดีต เซเลอร์มูนก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน อัศวินเซเลอร์แต่ละคนแทบจะเป็นไอดอลของสาวๆ(หรือหนุ่มๆ)เลยด้วยซ้ำ เมื่อไม่กี่ปีก่อนก็พึ่งมีอนิเมะฉลองครบรอบ 20ปี ออกมาในชื่อภาค Sailor Moon Crystal ซึ่งเป็นอนิเมะเวอร์ชันรีเม
21/09/2016
( อ่าน เพื่อนเราเป็นการ์ตูน : http://ookb.ee/comicsOOC1G )ART BLOCK คืออะไร?...จากเป็นศพ เฮ้ย ประสบการ์ณตรงที่ไม่ค่อยจะเป็น ART BLOCK (ยอมรับว่าเป็นแต่ไม่เยอะ) ยกเว้น กรณีเล่นเกมส์มาก + ขี้เกียจ ..... อาร์ตเป็นอิฐ ....................................... ไ
11/03/2017
การตลาดกับนักวาดหรือนักผลิตผลงานโลกปัจจุบัน... การตลาดเป็นสิ่งสำคัญมาก สำคัญอย่างไร? ขาดมันได้ไหม? สำคัญตรงที่อะไร? แล้วทำไมต้องมีมัน? ใช่แล้ว ตัวตนพื้นฐานของเรา นั่นคือ "มนุษย์เป็นสัตว์สังคม" เท่าที่ทราบที่ได้จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับบุคคลมาบ้าง มีคนบาง
05/05/2016
บล๊อกนี้จะพูดถึงรายละเอียดของ #OokbeeComicsBonus ที่ทุกคนรอคอย! อะไรคือ #OokbeeComicsBonus #OokbeeComicsBonus หรือ Ookbee Comics Bonus เป็นโปรเจ็คท์ที่จะสร้างรายได้โบนัสรายเดือนให้กับนักสร้างสรรค์ผลงาน ทั้งนักเขียนการ์ตูน นักวาดภาพ บล็อกเกอร์การ์ตูน โดยกา
ส่ง
ความคิดเห็น ()